ชีวิต ได้ผ่านล่วงเลยไปทุกๆวัน
วงจรชีวิตนั้น ถ้าเฝ้ามองและสังเกตให้ดี จะพบว่ามันมีวงจรซ้ำๆ
คือ ตื่นเช้า ทำงาน กิน นอน
ในด้านความรู้สึกนั้นก็จะมี สุขใจ พอใจ ทุกข์ใจ ไม่พอใจ หรือไม่เกิดความรู้สึกอะไร หรือไม่รู้ คือเฉยๆ
เราอยู่ด้วยความคาดหวัง และอยู่ด้วยความรู้สึกว่าเรา มีเรา เป็นตัวตนของเรา หวังสุข ไกลทุกข์
ด้วยความหวังเช่นนั้น วิถีในทุกๆวันใหม่ที่เกิดขึ้นก็เพื่อตอบสนอง กระทำเพื่อให้ชีวิตเราประสบอยู่ กับความสมหวัง สุขใจ พอใจ พบความทุกข์น้อยที่สุด
ในความเป็นจริง ถ้าเราได้เข้าใจว่าความทุกข์คืออะไรอย่างแท้จริงแล้ว ตามนิยามแห่งทุกขสัจจ์ และได้เฝ้าสังเกตุลักษณะ สภาวะอาการแห่งทุกข์ เราก็จะเข้าใจ และเห็นด้วยใจตนเองว่า
ทุกข์นั้นดำรงอยู่ตลอดเวลา ทุกลมหายใจของเราคือความทุกข์
สภาพร่างกายอันนี้ ที่ทุกๆคนมี เมื่อเราเฝ้าสังเกตุก็จะมีสิ่งที่เราสัมผัสได้คือกายเนื้อของเรา ที่มีส่วนต่างๆ และอีกส่วนคือสภาวะที่เรามองไม่เห็น จับต้องได้ แต่เรารู้ว่ามีอยู่ คือ ความรู้สึก ความคิด ความจำ และความรู้ว่านั่นนี่
และเราก็รู้ว่าเมื่อเราตายไปร่างกายนี้ก็กลายสภาพเน่าเปลื่อยผุพังเป็นธาตุ เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ แตกสลายไป
แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่ค่อยมั่นใจคือสภาพสภาวะแห่งส่วนของเราที่เป็นความรู้สึก ความรู้นั่นนี่นั้นจะไปไหนเป็นอย่างไร ถ้าตามที่พอรู้นั้นบางคนก็เชื่อเรื่องการตายเกิด บางคนก็ไม่เเน่ใจ
ในโลกปัจจุบันที่ไกลจากพุทธกาลมาก สภาพแวดล้อมเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น ล้วนทำให้สภาพของจิตใจของผู้คนนั้นมีลักษณะที่ไปทางการเชื่อ ยึดถือว่า ธรรมชาติที่เรียกว่าร่างกายจิตใจนี้ เป็นเรา เป็นของเรา และเห็นไปต่างๆนาๆ อันเป็นความเห็นความเชื่อที่เกิดขึ้น แล้วทำให้ห่างไกลจากสัจธรรม ความจริงของพระพุทธองค์ที่ท่านได้ทรงตรัสไว้...
"สัพเพ ธัมมา อนัตตา"
เมื่อเเรกเริ่มแห่งวิถีการเดินทางในชีวิต เราใช้อัตตาตัวตนเพื่อขับเคลื่อนชีวิตของเรา อัตตานั้นมีอัตตาที่เป็นกุศล กับอกุศล
การรักษาศีล การประพฤติในกรอบธรรมเนียม และการทำความดี สร้างกุศลนั้น
ก็เป็นความเชื่อ เป็นความยึดถือว่าจะนำสิ่งที่ดีๆมาสู่ตน
เป็นก้าวแรกๆที่ให้เราออกห่างมาจากอกุศล
แต่ด้วยคำสอนอันลึกซึ้งที่สุดของพระพุทธองค์ ที่แสนจะเข้าใจยาก และปฏิบัติยาก หากไม่ได้พบครูอาจารย์ หรือกัลยาณมิตร หรือบุญปัญญาบารมีมาก่อน
ก็ยากที่จะได้พบธรรมที่แท้จริง หรือพบแต่ก็เฉียดๆไปมา หรือพบแล้วอัตตาก็พาออกห่างไป
ในการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงแก่นความจริงอันลึกซึ้งนี้
ก็มีการปฏิบัติที่มากมาย หลากหลายทาง แต่เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือการเข้าถึงธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่ดับ
มีทางเดินหนึ่งทาง ที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่เข้าใจ และจริตมาทางนี้คือ
สัพเพ ธัมมา อนัตตา
อนัตตา... จะมาสู่การปฏิบัติในชีวิตประจำวันและทุกๆขณะจิตของเรานั้นได้อย่างไร เป็นสิ่งที่พึงศึกษาและทำความเข้าใจ
ท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ละเอียด จากคำสอนของหลวงพ่อธี วิจิตตธมโม.
สำหรับผู้เขียน ได้ลองฝึกปฏิบัติตามเเนวทางนี้มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว พบว่าเหมาะกับจริตเเห่งตน และเกิดการเปลี่ยนแปลงในสภาะไประดับหนึ่ง และยังคงปฏิบัติอยู่ต่อไป...
ด้วยความเข้าใจในรูป-นาม ขันธ์ 5 นี้
ด้วยความเข้าใจในพระไตรลักษณ์ "อนิจจัง ทุกข์ อนัตตา"
ด้วยความเข้าใจในพระอริยมรรค "ปัญญา ศีล สมาธิ"
และด้วยความเข้าใจในธรรมต่างๆ ในโพธิปักขิยธรรม 37
และการเริ่มต้นทำความเข้าใจกับเรื่องของปัญญาแห่งองค์พุทธในมุมใหม่ ที่เราอาจจะยังไม่เคยเห็นในคำอธิบายในตำราธรรมต่างๆ ก็อาจจะทำให้ผู้ที่ยังติดขัด สามารถคลี่คลายไปได้ด้วยเรื่องของปัญญา.
"อนัตตา"
kmsabai...
สวัสดีค่ะ
พี่แก้ว ห่างจากการพบครูอาจารย์ หรือกัลยาณมิตร หรือ นานบุญปัญญาบารมีนานพอสมควรแล้ว จนเริ่มจิตตกบ่อยครั้ง กว่าจะสร้างพลังใจให้แข็งแรงขึ้นต้องใช้เวลานานมาก เห็นทีต้องหาเข้าคอร์สฝึกจิตอีกครั้ง
อนัตตา....ที่ใจรับรู้
ขออนุโมทนาบุญในกุศลทุกท่าน ที่เกิดกุศลจิต อันเกิดจากการอ่านบทความนี้
ขอกุศลที่เกิดกับข้าพเจ้าเป็นกุศลอนัตตา เป็นเสบียงธรรม และอุทิศกับเจ้ากรรมนายเวรและสรรพสัตว์
สาธุ ๆ ๆ ครับ..
พยายามอ่านตามด้วยความสงบ ขอบคุณค่ะ
เข้ามาเยี่ยมค่ะ อนุโมทนาด้วยนะคะ