มีครูโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษในเขตกรุงเทพมหานครคนหนึ่งบ่นกับผมว่า
“ครูที่โรงเรียน(ระบุวิชาเอกด้วย)ส่งผลงานกันกี่คนก็ตกหมด ทั้งๆที่เป็นคนดี คนเก่ง ลูกศิษย์ ผู้ปกครองก็รักและยกย่อง ว่าสอนดี สอนเก่ง มีประวัติที่ดีมายาวนาน กลับตกไม่เป็นท่า แต่ครูอีกหลายคน(ระบุวิชาเอก) ทำงานก็ไม่ดี ชอบเกี่ยง เลี่ยงงาน เด็กก็บ่นว่าสอนไม่รู้เรื่อง กลับผ่านฉลุย ได้เงินค่าวิทยฐานะสองเท่าสบายแฮ แถมวางกล้ามเยาะเย้ยคนกลุ่มแรกอีก... ถ้าขืนเป็นอย่างนี้มากๆบรรยากาศของโรงเรียนจะเป็นเช่นไรหนอ...”
พอดีผมได้ฟังศาสตราจารย์ ดร. สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คนใหม่ แถลงนโยบายเมื่อตอนรับงาน ฟังแล้วก็โดนใจ ที่ท่านบอกให้ทุกฝ่ายทำงานรับใช้ประชาชน ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในทุกเรื่อง แล้วท่านก็ยกตัวอย่างเรื่องการประเมินเลื่อนวิทยฐานะด้วย ว่าอย่าให้มีหลายมาตรฐาน ไม่ให้กรรมการประเมินชกกันข้างเดียว ต้องให้ผู้รับการประเมินสามารถอธิบายชี้แจงได้ด้วย รวมทั้งท่านพูดอีกว่า ต่อไปอยากให้ผู้ปกครอง นักเรียน เพื่อนครู ผู้บริหารเข้ามาประเมินได้ด้วย ซึ่งตรงกับสิ่งที่ผมจะกล่าวถึงในตอนต่อไป
มีครูอีกคนหนึ่งที่ผลงานทางวิชาการไม่ผ่านการประเมิน ได้เล่าถึงเรื่องที่ถูกกรรมการประเมินชกเอาข้างเดียวไว้ตอนหนึ่งว่า
“ประเด็นที่กรรมการประเมินระบุเหตุผลที่ผลงานไม่ผ่านการประเมินนั้น อ่านแล้วไม่เข้าใจว่ากรรมการอ่านผลงานครบทั้งเล่มหรือไม่ เราทำแล้วแต่ก็บอกว่าไม่ได้ทำ และที่แนะนำมาก็ใช้ความเป็นอัตตามากกว่าความเป็นวิชาการ หรือไม่ก็เขียนมาแบบกว้างๆคลุมเครือ คล้ายกับว่าต้องเขียนตามกรอบที่กรรมการคิดเท่านั้น อยากจะไปชี้แจงก็ไม่มีช่องทางให้ชี้แจง จะทำหนังสือร้องเรียนก็ไม่กล้า เพราะเท่าที่รู้มา ไม่เคยมีคนร้องเรียนเรื่องการประเมินผลงานคนใดที่สามารถแก้ไขและผ่านการประเมินได้เลย แถมถูกประจานให้เสียคนด้วยซ้ำ... จึงอยากวิงวอนว่า ก่อนจะประเมินให้ไม่ผ่าน อยากให้ลองไปอ่านดูประวัติของครูคนนั้นหน่อยได้ไหม ว่าเขาเคยทำประโยชน์ให้แก่โรงเรียน นักเรียน มีผลงาน เกียรติประวัติตั้งแต่เริ่มรับราชการมาอย่างไรบ้าง...”
(ยังไม่เข้าเรื่องที่จะเสนอแนะเลย ที่เล่ามาทั้งหมดยังเป็นการรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ โปรดติดตามตอนต่อไปอีกสัก 2-3 ตอนก็จะถึงเรื่องที่จะเสนอแนะครับ)
ไม่มีความเห็น