Garfield
ทิพย์ผกา ทิพย์ ทิพย์มณเฑียร

พลังแห่งการให้อภัย


พลังแห่งการให้อภัย
พลังแห่งการให้อภัย
 

                พลังที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้เราเป็นสุขใจและทำให้เราเอาชนะตนเองได้พลังนั้นคือ
                                                "พลังแห่งการให้อภัย"

การที่เราไม่สามารถให้อภัยคนอื่นเป็นรากฐานของความคิดเชิงลบ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดความโกรธและโทษคนอื่น ทำให้เกิดความกลัวและแคลงใจ หรือเกิดความอิจฉาริษยาตั้งแต่เล็กจนโตเราถูกปลูกฝังว่า “ความถูกต้อง” เป็นสิ่งสำคัญมากและถูกกำหนดโดยกรอบของ “ความยุติธรรม” ทำให้เรารู้สึกไม่พอใจ เมื่อเหตุการณ์ที่ไม่ถูกต้องหรือความไม่ยุติธรรม โดยเฉพาะถ้าเหตุการณ์นั้นเกี่ยวข้องกับเราโดยตรง หรือทุกครั้งที่เรารู้สึกว่าตนเองและผู้อื่นไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามเราจะตอบโต้ด้วยความโกรธ เมื่อเป็นเช่นนี้ความเคารพในตนเองที่บอบบางจะถูกคุกคามหลายคนที่จมอยู่กับความรู้สึกอย่างนี้อย่างไม่สามารถจะหลุดพ้นจากมันได้ ถ้าเราไม่รู้จักปลดปล่อยความทุกข์ในวัยเด็กให้ผ่านพ้นไป เราจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักให้อภัย และจะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความโกรธต่อคนอื่น ทำให้ต้องเผชิญกับความทุกข์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน

สิ่งที่มีพลังที่สุดที่จะปลดปล่อยให้คุณเป็นอิสระ คือการให้อภัยทุกคนที่เคยทำให้คุณเจ็บปวดในทุกๆ เรื่อง เพียงคุณปลดปล่อยคนอื่นออกจากจิตใจโดยการให้อภัยเขา คุณจะปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากความทุกข์ นี่คือเหตุผลที่ศาสนาส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการให้อภัย และสอนว่าการให้อภัยเป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่สันติสุขในใจและบนโลกมนุษย์

คุณลองนึกภาพถึงความรู้สึกที่ไม่โกรธใครทั้งสิ้นในโลกนี้ นึกภาพว่าคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดีและมีความสุข มีความเชื่อมั่นและเคารพตนเอง นึกภาพว่าเป็นคนอบอุ่นเป็นมิตร และมีแต่ความสงบสุขภายใน ทุกสิ่งที่กล่าวมานี้สามารถเป็นจริงได้ถ้าคุณรู้จัก ให้อภัยในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณไม่ยอมให้อภัยคนอื่น คุณจะโกระ เครียด วิตกกังวล ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ และไม่มีความสุข การไม่ยอมให้อภัยทำให้คุณติดอยู่ในบ่วงแห่งความทุกข์ ในขณะที่การให้อภัยทำให้คุณเป็นอิสระ คุณจะเลือกสิ่งใด มันเป็นสิ่งที่คุณต้องเลือกด้วยตนเอง ไม่เกี่ยวข้องกับใครทั้งสิ้นมีบางคนที่ปิดกั้นตนเองจากการให้อภัยด้วยความเชื่อผิดๆ ที่ว่าการให้อภัยคือการยอมรับพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง หรือคิดว่าการให้อภัยเท่ากับว่าเรายอมรับคนๆนั้น และกำลังทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มีคำกล่าวว่า การจำคุกต้องมีทั้งสองฝ่ายเสมอ คือนักโทษและผู้คุม ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็อยู่ในเรือนจำเช่นกัน ถ้าคุณปล่อยให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นอิสระ คุณเองก็จะเป็นอิสระด้วย คุณไม่จำเป็นต้องยอมรับพฤติกรรมหรือต้องชอบคนที่ทำให้คุณเจ็บ เพียงแต่คุณให้อภัยเขาเพื่อที่คุณจะได้ดำเนินชีวิตต่อไป การให้อภัยจึงเป็นการกระทำเพื่อตนเองอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อคนอื่นเลย และมันเป็นการกระทำด้วยจิตใจที่สงบสุขและมั่นคงเมื่อคุณโกรธคนอื่น คุณจะควบคุมจิตใจตนเองไม่ได้ทุกครั้งที่นึกถึงเขา คุณปล่อยให้เขาเข้ามาควบคุมจิตใจและชีวิตของคุณ เขาจะเข้ามาอยู่ในความคิดของคุณตลอดเวลา และเหตุการณ์ที่ทำให้คุณโกรธก็จะปรากฏขึ้นในใจของคุณ

 

หนทางแห่งการให้อภัย

 

วิธีที่จะให้อภัยนั้นง่ายมาก คุณสามารถทำได้โดยการพูดว่า “ขอให้คุณพระคุ้มครองเขา ฉันยกโทษให้เขาสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง และขอให้เขาโชคดี” มันเป็นไปไม่ได้ที่จะยกโทษให้คนอื่นในเวลาเดียวกับที่คุณโกรธเขา เพราะความคิดเชิงบวกจะไปยกเลิกความคิดเชิงลบของคุณคุณจะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระได้เร็วขึ้น โดยการยอมรับผิดชอบในส่วนของคุณต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ต่างๆ จะเกิดขึ้นโดยตัวของมันเองได้ยากมาก คุณย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นด้วยเสมอ ดังนั้นคุณจำเป็นต้องดึงส่วนที่คุณรับผิดชอบออกมา โดยพูดว่า โดยพูดว่า “ฉันผิดเอง ฉันไม่ควรเกี่ยวข้องด้วยตั้งแต่แรกหรือเกี่ยวข้องกับมันมากเกินไป ฉันไม่ควรทำเช่นนี้ ฉันให้อภัยเขาอย่างแท้จริง และปล่อยให้มันผ่านไป”มันอาจจะยากสำหรับคุณในการให้อภัยในครั้งแรก การพูดถ้อยคำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก จึงมีหลายคนที่มีชีวิตเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ถ้าคุณให้อภัยคนอื่นและปล่อยเขาไป คุณจะรู้สึกมีความสุขและสดใสขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อความโกรธและความขุ่นเคืองจางหายไป จิตใจของคุณจะเต็มไปด้วยความคิดในทางที่ดี คุณจะมีพลังมากขึ้น กระฉับกระเฉงขึ้น เข้มแข็งและมั่นใจมากขึ้นไม่ต้องกังวลว่าเพื่อนคุณจะคิดอย่างไรถ้าคุณให้อภัยคนที่ทำให้คุณเจ็บ เพราะเพื่อนคุณอาจจะเบื่อหน่ายที่จะรับฟังคุณรำพึงรำพันถึงความทุกข์นั้นแล้วก็ได้ ในความเป็นจริงเมื่อคุณเริ่มต้นให้อภัยแล้ว คุณจะพบว่าความโกรธเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มาพันธนาการคุณไว้กับคนบางคน และเมื่อคุณตัดสินใจให้อภัยเขาคุณอาจจะไม่รู้สึกอยากพูดถึงเขาอีกต่อไป

 

คนที่คุณต้องให้อภัย

 

มีคนอยู่ 4 กลุ่มที่คุณต้องให้อภัย ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนชีวิตของคุณอย่างจริงจัง

กลุ่มแรก คือ พ่อแม่ของคุณ ไม่ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม คุณต้องให้อภัยท่านอย่างหมดสิ้นสำหรับความผิดพลาดในอดีตในการเลี้ยงดูคุณ อย่างน้อยที่สุดคุณควรขอบคุณท่านที่ให้ชีวิตแก่คุณ ท่านทำให้คุณมีวันนี้ ถ้าคุณยังมีความสุขที่จะมีชีวิตอยู่ คุณก็ควรให้อภัยท่านได้ทุกเรื่อง และจงอย่าตำหนิท่านอีกถ้าคุณไม่ให้อภัยพ่อแม่ของคุณ คุณจะยังคงเป็นเด็กตลอดไป และจะปิดโอกาสในการเติบโตและเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ คุณยังคงมองตนเองเป็นเหยื่อผู้โชคร้าย และที่แย่ไปกว่านั้นคือคุณจะเก็บความรู้สึกเชิงลบความเป็นปมด้อย และความโกรธไว้ตลอดไป ยิ่งไปกว่านั้นถ้าพ่อแม่ของคุณเสียชีวิตลงโดยที่คุณยังไม่ได้ให้อภัยท่าน สิ่งนี้จะรบกวนคุณไปตลอดชั่วชีวิต

กลุ่มที่สอง คือ คนใกล้ชิด กลุ่มคนที่ใกล้ชิดของคุณที่ความสัมพันธ์ต้องสิ้นสุดลง การแต่งงานและความสัมพันธ์ส่วนตัว เป็นความรู้สึกที่รุนแรง ซึ่งอาจทำลายความเคารพตนเองได้มากจนกระทั่งคุณอาจโกรธและไม่ให้อภัยคนเหล่านั้นเป็นเวลาหลายปีแต่อย่างน้อยคุณอาจรับผิดชอบได้ส่วนหนึ่ง โดยการให้อภัยคนอื่นและปล่อยเขาไป จงพูดว่า “ฉันผิดเอง ฉันยกโทษให้เขาสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง และขอให้เขาโชคดี” ทุกครั้งที่พูดเช่นนี้อีก ความรู้สึกเชิงลบที่ติดอยู่กับความทรงจำก็จะเลือนหายไป และในไม่ช้ามันจะหมดไปอย่างถาวรจากการศึกษาพบว่า “การเขียนจดหมาย” เป็นวิธีการกำจัดความรู้สึกไม่ดีให้หมดไป และเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งที่สามารถปลดปล่อยคุณจากความโกรธได้คุณสามารถทำได้โดย นั่งลงเขียนจดหมายให้อภัยคนอื่น ซึ่งจดหมายนั้นประกอบด้วย 3 ส่วนได้แก่

ส่วนแรก ให้เขียนว่า “ฉันให้อภัยคุณในสิ่งที่คุณทำให้ฉันเจ็บ”

ส่วนที่สอง ให้พรรณนาถึงสิ่งต่างๆ ที่คุณยังโกรธอยู่ ซึ่งบางคนเขียนส่วนนี้ได้ยาวหลายหน้า

ส่วนที่สาม เขียนคำลงท้ายจดหมายว่า “ขอให้คุณโชคดี”

จากนั้นนำจดหมายไปหย่อนตู้ไปรษณีย์ ในเวลานั้นคุณจะรู้สึกถึงความปลดเปลื้องที่ยิ่งใหญ่ และคุณจะเป็นอิสระได้ในที่สุดในการใช้วิธีนี้ คุณไม่ต้องกังวลว่าผู้อ่านจะมีปฏิกิริยาอย่างไร นั่นไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องนึกถึง เพราะเป้าหมายของคุณคือการปลดปล่อยตนเอง เพื่อจะมีจิตใจที่สงบสุขและมีชีวิตที่ดีต่อไป

คนกลุ่มที่สาม ใครก็ได้ในชีวิตที่ทำให้คุณเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นเจ้านาย หุ้นส่วนทางธุรกิจ เพื่อน คนที่โกง หรือทรยศต่อคุณ รวมทั้งทุกคนที่นำความทุกข์มาให้คุณ จงซักผ้าที่เปื้อนสีของคุณให้ขาว จงปล่อยเขาไปโดยพูดว่า “ฉันให้อภัยเขาสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างและขอให้เขาโชคดี” พูดประโยคนี้ซ้ำอีกทุกครั้งที่คุณนึกถึงเขา จนกระทั่งความรู้สึกเชิงลบนั้นจางหายไป

กลุ่มที่สี่ คือ ตัวคุณเอง คุณต้องให้อภัยตนเองอย่างหมดสิ้นสำหรับการกระทำหรือคำพูดของคุณที่โง่เขลา เบาปัญญา ไม่มีเหตุผล ร้ายกาจ สิ้นคิด หรือหยาบคาย คุณต้องเลิกเก็บความผิดพลาดเหล่านี้ไว้กับคุณ จงจำไว้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอดีตแต่ตอนนี้คุณอยู่กับปัจจุบัน

เพียงแค่พูดว่า “ฉันให้อภัยตนเองในความผิดที่ฉันได้ทำลงไป ฉันเป็นคนดีอย่างแท้จริง และฉันกำลังจะมีอนาคตที่สดใส” เมื่อใดที่คุณคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตอีก จงพูดว่า “ฉันยกโทษให้ตนเองอย่างหมดสิ้น” จากนั้นก็ดำเนินชีวิตต่อไป จงเดินหน้าไปสู่อนาคตแทนที่จะถอยกลับไปหาอดีต คิดถึงที่ที่คุณกำลังจะไป ไม่ใช่ที่ที่คุณผ่านมาแล้ว

             สุดท้าย ถ้าคุณเคยทำให้คนอื่นรู้สึกเจ็บและยังรู้สึกไม่ดีกับมันอยู่ คุณอาจไปพบเขาหรืออาจเขียนจดหมายถึงเขาเพื่อขอโทษ บอกเขาว่าคุณเสียใจในสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว และไม่ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี มันไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะคุณได้แสดงความเสียใจในสิ่งที่ได้กระทำไปแล้วซึ่งการแสดงความเสียใจนี้จะช่วยปลดปล่อยให้คุณเป็นอิสระ

คำสำคัญ (Tags): #kmanw
หมายเลขบันทึก: 477052เขียนเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2012 14:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 เมษายน 2012 21:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท