สภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่หัวโล้น ไม่มีผม และสวมหมวกก็ต่อเมื่อในห้องนั้นมีอากาศหนาวเย็น หากแต่เมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชนก็หาได้สนใจต่อภาพลักษณ์
เมื่อเริ่มต้นทำงานอีกครั้ง ... งานแรกคือ เครือข่าย R2R ภาคกลางดังที่คุณ กอไผ่ใบตาล ได้เขียนไว้ R2R ง่ายนิดเดียว (ยาก เยอะ...รึเปล่า) หลังจากอยู่ป่า (วัดป่า) แรมเดือน และก็เตลิดเข้ากรุงทันที ก็ทำให้เกิดสภาวะงงๆ บ้าง แต่ก็ตั้งสติ ตั้งลำไว้ได้ และดำเนินตนเองท่างกลางฝูงชนได้ถึงสองวัน
จากงานมหกรรม R2R ภาคกลางวันนั้น มีหลายเรื่องราวเป็นดั่งการเปิดตัวเองในโฉมใหม่ที่ไร้ผม แต่ก็ไม่ได้ทำให้ถึงหวั่นไหว สิ่งที่ได้เรียนรู้กับตนเอง คือ การได้ดูใจตนเองว่าเคลื่อนไปอย่างไรบ้าง
ออกจากวัดก็สู่งานใหญ่ ทำให้ปรับตัวได้เร็วเพราะการก้าวย่างเผชิญหน้าต่อสิ่งที่ได้เรียนรู้แห่งภายในด้วยหัวใจที่กล้าหาญ
จากนั้นข้าพเจ้าก็ไปต่อ R2R ของโรงพยาบาลค้อวัง
ที่นี่คือ ความเบิกบานและสดใส เพราะเราร่วมเรียนรู้ R2R ด้วยความสุขสนุก ในหลากระดับ
มีงานดีดีมาเล่าสู่กันฟัง ต่อยอดทำให้เห็นพลังของคนหน้างานอย่างเต็มเปี่ยม
ไม่รอช้า ในวันถัดมาก็ไปเชื่อม R2R ที่โรงพยาบาลอำนาจเจริญ ซึ่งที่นี่ทำให้ข้าพเจ้าได้เกิดการเรียนรู้ในเรื่องพลังของพยาบาล และการเกื้อกูลให้เกิด R2R จากพี่พยาบาลในระดับหัวหน้า สี่ครั้งของการเดินทางไปขับเคลื่อน คนหน้างานก็ยังคงเต็มห้องประชุมไม่หนีหายไปไหน
และในรอบสุดท้ายที่เราเจอกัน มีผลงานดีดีหลายเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง
อะไรที่ทำให้ R2R ที่ รพ.อำนาจเจริญ...เรียนรู้อย่างมีความสุข คือ...ประเด็นที่ข้าพเจ้าขอให้พี่ๆ ในระดับหัวหน้าช่วยกันถอดบทเรียน
ทุกคนมาด้วยใจ...
เรียนรู้ด้วยใจ วันที่นำเสนองานจึงเต็มไปด้วยความสุขและสนุก และมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันทำให้งานที่ทำมีประเด็นทำต่อ
ข้าพเจ้าชอบให้เกิดกระบวนการคิด โดยเฉพาะการคิดใคร่ครวญ
การสร้างคุณลักษณะนี้ให้เกิดขึ้นในคนทำงาน จะทำให้เขาทำงานอย่างมีความสุขขึ้นเพราะได้ฝึกฝนทางปัญญา มากกว่าการนำพาตนเองให้จมอยู่กับอารมณ์และความรู้สึกด้านลบที่คุมคามและเบียดเบียนเขาอยู่
จากการเดินทาง...
สู่การทำงานคอยเชียร์และให้กำลังใจผู้คนต่อเนื่องกันหลายวัน ข้าพเจ้าก็ยังได้รับข่าวแห่งความยินดีจากน้องๆ ในที่ทำงาน ที่ได้โชว์ศักยภาพแห่งความสามารถจนเป็นที่ยอมรับในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ
หลายปีก่อนข้าพเจ้ามองเห็นว่าน้องๆ มีความสามารถและมีพลังสร้างสรรค์การทำงานอย่างมาก แต่ระบบที่จำกัดมากเกินไปทำให้ทำงานในกรอบมากเกินไป
และเมื่อก้าวย่างออกจากกรอบ...
ผลงานที่ปรากฏ คือ ผลผลิตที่ออกดอกออกผลจนเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณะ
คือ ความอิ่มเอิมใจและน่าดีใจอย่างยิ่ง
"มนุษย์กับพลังแห่งการสร้างสรรค์ทางปัญญา"
สถานะและสมมติที่เปลี่ยนไปแค่ชั่วข้ามคืน และเตลิดเดินทางต่อเนื่องไปในหลายๆ ที่ นั่นน่ะไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าเหนื่อยล้าใดใดเลย หากแต่ยิ่งเกิดกำลังใจอย่างมากมาย ที่จะให้ผู้คนทำงานด้วย "หัวใจและปัญญา"
ซึ่งก็คือ...ทำงานอย่างเต็มที่ ตั้งใจ และมีความสุข สามารถใช้ศักยภาพทางปัญญาแห่งความเป็นมนุษย์ได้อย่างเต็มเปี่ยมนั่นเอง
ข้าพเจ้าได้ใคร่ครวญในตนเอง
สภาวะที่ดำรงอยู่...ดั่งพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าเราสมถะและสันโดษ แม้ผมก็ยังถือเป็นภาระที่อยากสละออกนั้น เป็นสภาวะที่ต่างออกไปจากผู้คน
แต่เมื่อเราทำความเข้าใจและใจเรามันน้อมลงยอมรับด้วยใจที่นอบน้อม แม้ว่าสถานะภาพจะเปลี่ยนไปอย่างไร เราก็สามารถรักษาหน้าที่แห่งสถานะตามสมมติที่ปรากฏนั้นได้ด้วยใจเบาเบา
...
๒๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๕
มาชม
ขออนุโมทนา ในกุศลเจตนาเดินเส้นทางนี้นะครับผม
เรียน อ. Ka-Poom
อ่านแล้วสบายใจจังค่ะ ได้เห็นตัวอย่างคนที่กำลัง "ขัดใจตนเอง"
(นึกถึงบันทึกนี้ด้วยค่ะ http://www.gotoknow.org/blogs/posts/462791)
เลย..รู้สึกว่าตัวเองโชคดีแต่เช้า
^_____^
สาธุ สาธุ สาธุ
...ชวนให้นึกถึงอดีตเมื่อปี ๒๕๔๒ ลองสวมผ้าขาวปีหนึ่ง แต่ไม่ค่อยได้เดินจงกรม เรียกว่าวิ่งกับวิ่ง...อย่างมีสติ ^____^
...ปั่นจักรยานสไบปลิว ...^____^
...คอยเป็นแม่แจ๋วบริการจัดโต๊ะอาหารรับแขกไปชมงานในรั้ว "บวร"
...นักศึกษาหนุ่มน้อยกังขา เก้ๆกังๆ "เอ่อ...แม่ชีครับ พวกผมทำตัวไม่ถูกครับ ที่แม่ชีมาคอยบริการพวกผม" ^____^
...หลังจากนั้น เริ่มสวมเอี๊ยมคลุมบ้างและใช้ผ้าขาวโพกศรีษะ ดูลงตัวดี
...แต่หนึ่งปี ไม่ได้กลับบ้านไปให้แม่เห็นหน้า สาธุด้วยเลย :( เพราะต้องต่อมอเตอร์ไซด์รับจ้าง นั่งซ้อนไม่ได้
สาธุอีกทีค่ะ ^____^
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตของผม
ผ่านเรื่องราวที่ดีและไม่ดี
แต่ไม่เคยท้อ กับสิ่งที่มากระทบกระแทก
ทั้งเกิดจากตัวเอง และผู้อื่น
ความดี และความไม่ดี
เป็นสิ่งสมมติ
เมื่อผมเชื่อว่า...เมื่อทำดี
และมีสติในการกระทำ
รู้สึกว่าผมพ้นความกลัวเหล่านั้น
และทำด้วยความรักและเห็นคุณค่า
ของผมและผู้อื่น
ขอบคุณอาจารย์เสมอนะครับ