ช่วงเวลาสิ้นปีเรื่อยไปจนถึงเดือนเมษายน ของทุกปี เป็นช่วงเวลาเฉลิมฉลองทั้งโอกาสปีใหม่ ตรุษจีน วาเลนไทน์ ปิดเทอมใหญ่ ไปจนถึงเทศกาลสงกรานต์ และเป็นที่ทราบกันดีว่าการพบปะสังสรรค์ของคนไทย ไม่ว่าเทศกาลไหน ๆ ต่างนิยมดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปัจจุบันพฤติกรรมดังกล่าวเป็นตัวก่อปัญหาต่าง ๆ ทั้งปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม และด้านสุขภาพ ปัญหาสำคัญที่พบเห็นได้ว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลกระทบให้เกิดความเสียหายต่อร่างกาย ชีวิต ทรัพย์สิน ได้ทันที คือการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากการขับขี่ยานพาหนะด้วยความมึนเมา ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการตระหนักถึงความรุนแรงและผลกระทบของปัญหาดังกล่าว ทำให้ประเทศไทยออกกฎหมายบังคับใช้ในการควบคุมปัญหาเหล่านี้ เช่นพรบ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ที่มีเนื้อหาควบคุมการจำหน่ายและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อีกทั้งดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเดิมเพื่อส่งเสริมให้มาตรการลงโทษสำหรับความผิดในการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในขณะขับขี่ยานพาหนะมีความรุนแรงเหมาะสมกับสภาพปัญหาสังคมปัจจุบันมากยิ่งขึ้น เช่นพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก ( ฉบับที่ 7 ) พ.ศ.2550 ที่บัญญัติเพิ่มขนาดโทษที่ลงแก่ผู้กระทำความผิดฐานขับขี่ยานพาหนะในขณะมึนเมา ต่อไปนี้เป็นบทบัญญัติของ พรบ.จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่วางมาตรการเอาผิดแก่ผู้ขับขี่ยานพาหนะในขณะมึนเมา
1. มาตรา ๔3 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถ (1) ในขณะหย่อนความสามารถในอันที่จะขับ (2) ในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น(3) ในลักษณะกีดขวางการจราจร(4) โดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน (5) ในลักษณะที่ผิดปกติวิสัยของการขับรถตามธรรมดาหรือไม่อาจแลเห็นทางด้านหน้าหรือด้านหลังด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้านได้พอแก่ความปลอดภัย (6) คร่อมหรือทับเส้นหรือแนวแบ่งช่องเดินรถ เว้นแต่เมื่อเปลี่ยนช่องเดินรถ เลี้ยวรถหรือกลับรถ (7) บนทางเท้าโดยไม่มีเหตุอันสมควร เว้นแต่รถลากเข็นสำหรับทารก คนป่วยหรือคนพิการ (8) โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น”
2. มาตรา 43 ตรี บัญญัติว่า “ในกรณีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ขับขี่ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 43 (1) หรือ (2) ผู้ตรวจการมีอำนาจสั่งให้ผู้นั้นหยุดรถและสั่งให้มีการทดสอบตามมาตรา 142 ด้วย
3. มาตรา 43 จัตวา ในกรณีที่ผู้ตรวจการพบว่าผู้ขับขี่ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 43 (1) หรือ (2) หรือมาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง ให้ผู้ตรวจการส่งตัวผู้นั้นพร้อมพยานหลักฐานในเบื้องต้นแก่พนักงานสอบสวนผู้มีอำนาจโดยเร็ว แต่ไม่ต้องเกินหกชั่วโมงนับแต่เวลาที่พบการกระทำความผิดดังกล่าวเพื่อดำเนินคดีต่อไป ๔. มาตรา 142 เจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้ผู้ขับขี่หยุดรถในเมื่อ (1) รถนั้นมีสภาพไม่ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 6 (2) เห็นว่าผู้ขับขี่หรือบุคคลใดในรถนั้นได้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอันเกี่ยวกับรถนั้น ๆ ในกรณีที่เจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่เห็นว่าผู้ขับขี่ฝ่าฝืน มาตรา 43 (1) หรือ (2) ให้เจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่สั่งให้มีการทดสอบผู้ขับขี่ดังกล่าวว่าหย่อนความสามารถในอันที่จะขับหรือเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นหรือไม่ ในกรณีที่ผู้ขับขี่ตามวรรคสองไม่ยอมให้ทดสอบ ให้เจ้าพนักงานจราจรพนักงานสอบสวน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจกักตัวผู้นั้นไว้ดำเนินการทดสอบได้ภายในระยะเวลาเท่าที่จำเป็นแห่งกรณีเพื่อให้การทดสอบเสร็จสิ้นไปโดยเร็ว และเมื่อผู้นั้นยอมให้ทดสอบแล้ว หากผลการทดสอบปรากฏว่าไม่ได้ฝ่าฝืน มาตรา 43 (1) หรือ (2) ก็ให้ปล่อยตัวไปทันที
การทดสอบตามมาตรานี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดในกฎกระทรวง ("มาตรา 142" แก้ไขโดย พ.ร.บ.จราจรทางบก ( ฉบับที่ 4 ) พ.ศ. 2535 และหลังสุดมาตรา 142 วรรคสาม" แก้ไขโดย พ.ร.บ.จราจรทางบก ( ฉบับที่ 6 ) พ.ศ. 2542 มาตรา 6
สำหรับหลักเกณฑ์วิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวงนั้นกำหนดไว้ในกฎกระทรวงฉบับที่ ๑๖ ( พ.ศ. ๒๕๓๗ ) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยกระทรวงมหาดไทย ดังนี้
ข้อ ๑ การทดสอบผู้ขับขี่ว่าเมาสุราหรือไม่ ให้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่โดยใช้วิธีการตามลำดับ ดังต่อไปนี้
(๑) ตรวจวัดลมหายใจด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจหรือทดสอบให้ใช้เครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด โดยวิธีเป่าลมหายใจ (BREATH ANALYZER TEST) และอ่าน
ค่าของแอลกอฮอล์ในเลือดเป็นมิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
วิธีการตรวจหรือทดสอบ ให้ปฏิบัติตามวิธีการตรวจสอบของเครื่องตรวจแต่ละชนิด
(๒) ตรวจวัดจากปัสสาวะ
(๓) ตรวจวัดจากเลือด
การตรวจวัดตาม (๒) หรือ (๓) ให้ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถทดสอบตาม (๑)ได้เท่านั้น
ข้อ ๒ กรณีที่ต้องทดสอบโดยวิธีตรวจวัดจากเลือดตามข้อ ๑ (๓) ให้ส่งตัวผู้ขับขี่ไปยัง
โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด และทำการเจาะเลือดภายใต้การกำกับดูแลของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม
ข้อ ๓ ถ้ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าเมาสุรา
(๑) กรณีตรวจวัดจากเลือด เกิน ๕๐ มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
(๒) กรณีตรวจวัดจากลมหายใจหรือปัสสาวะ ให้เทียบปริมาณแอลกอฮอล์โดยใช้
ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเป็นเกณฑ์มาตรฐานดังนี้
(ก) กรณีตรวจวัดจากลมหายใจให้ใช้ค่าสัมประสิทธิ์ในการแปลงค่าเท่ากับ ๒,๐๐๐
(ข) กรณีตรวจวัดจากปัสสาวะ ให้ใช้ค่าสัมประสิทธิ์ในการแปลงค่าเท่ากับเศษ ๑
ส่วน ๑.๓
5. มาตรา มาตรา 160 ตรี “ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 43 (2) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่าหกเดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่าหนึ่งปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงหกปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสองหมื่นบาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่าสองปีหรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาทและให้ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่”
เห็นได้ว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับปัญหาที่เกิดจากการเมาสุราแล้วขับขี่ยานพาหนะ โดยบัญญัติไว้เป็นกฎหมายบังคับใช้มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ด้วยวิธีการที่จะบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวที่ผ่านมานั้นมีรายละเอียดการปฏิบัติที่ยังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะการที่เจ้าหน้าที่จะชี้การกระทำหรือลักษณะอาการของผู้ขับขี่ที่มีอาการเมา จนไม่สามารถขับขี่ยานพาหนะให้มีความปลอดภัยได้นั้น เป็นการยากหากผู้ขับขี่อ้างว่าตนเองไม่เมาและโดยสภาพที่พบเห็นยังคงสามารถขับขี่ยานพาหนะนั้นไปได้โดยไม่ถึงขั้นเมามายไร้สติ ซึ่งผู้ขับขี่ที่ยังคงพอขับขี่ยานพาหนะไปได้เหล่านี้นั่นเองที่ก่อให้เกิดปัญหาอุบัติเหตุเมาแล้วขับ เนื่องจากการออกฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ต่อร่างกายผู้ดื่มนั้นโดยรวมแล้วทำให้สมองรับรู้และสั่งการทำงานของร่างกายได้ผิดเพี้ยนไปจากปกติในทางที่ลดประสิทธิภาพการรับรู้ตอบสนอง ดังนั้นประสิทธิภาพในการควบคุมยานพาหนะย่อมต้องลดน้อยลงและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ ปี ๒๕๓๗ กระทรวงมหาดไทยจึงได้ออกกฎกระทรวงฉบับที่ 16 ซึ่งขยายความละเอียดในการปฏิบัติตาม พรบ.จราจรทางบกฯ ในเรื่องการตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด และการกำหนดค่ามาตรฐานปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสำหรับวินิจฉัยหรือระบุอาการเมาของผู้ขับขี่ยานพาหนะ ตามที่กล่าวแล้วนั้น
เมื่อกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องมีความชัดเจนเพียงพอสำหรับผู้ปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมาย รวมไปถึงความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ทางลมหายใจ ทำให้ปัจจุบันเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่าคดีเมาแล้วขับที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งหรืออาจกล่าวได้ว่ามีการกระทำความผิดประเภทนี้อยู่ทุกวันก็ว่าได้ นั้น เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานแล้วส่งฟ้องศาลให้สั่งลงโทษได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน ในเรื่องปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ไม่เกิน ๕๐ มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แม้จะมีข้อสงสัยอยู่ว่าเป็นตัวเลขที่เหมาะสมหรือไม่ หรือการที่เจ้าหน้าที่ทำการตรวจจับผู้ขับขี่ยานพาหนะตามสถานที่ต่าง ๆ โดยเข้มงวด ไม่ผ่อนปรนแม้กรณีการไปร่วมงานเลี้ยงตามปกติประเพณีแล้วดื่มเหล้าเพียงเล็กน้อย ซึ่งล้วนเป็นข้ออ้างของผู้มีพฤติกรรมดื่มแล้วขับขี่ยานพาหนะ แต่เมื่อพิจารณาจากปัญหาพฤติกรรมผู้ขับขี่ยานพาหนะดื่มสุราหรือของมึนเมาอื่น ๆ ขณะขับขี่ยานพาหนะ ซึ่งส่งผลกระทบให้เกิดอุบัติเหตุและความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมากนั้น ไม่อาจยกกล่าวทบทวนถึงข้อสงสัยหรือข้ออ้างทั้งหลายเหล่านั้นได้ เนื่องจากการที่สังคมไทยบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวก็เพื่อความปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน ยิ่งโดยเฉพาะปรากฏในระยะหลังถึงปริมาณการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากการเมาแล้วขับมีจำนวนมากขึ้น ทั้งปริมาณการดื่มสุราของคนไทยที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการที่คนไทยมียานพาหนะเพิ่มขึ้น ใช้รถใช้ถนนเพิ่มขึ้น การบังคับใช้กฎหมายโดยเข้มงวดของเจ้าหน้าที่จึงเป็นไปด้วยความเหมาะสมโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ และภาระการรับผิดชอบของรัฐ ซึ่งจะเป็นการป้องกันความเสียหายและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลจำนวนหนึ่งดื่มสุราแล้วขับขี่ยานพาหนะ
เอกสารอ้างอิง
ไม่มีความเห็น