ค่ายพระ ครู ผู้ปกครอง และนักเรียน


ในค่ำคืนที่ค่อนข้างเงียบสนิท เพราะเป็นเวลาเกือบ 4 ทุ่มแล้ว สิ้นคำพูดครูแต่ละคน เสียงสาธุ”ของนักเรียนก็ดังขึ้นพร้อมๆกันก้องหอประชุม ผมนึกขำวิธีของพระคุณเจ้า ซึ่งกำลังดำเนินการค่ายพระ ครู ผู้ปกครอง และนักเรียนให้กับโรงเรียน เนื่องจากตัวเองจะติดว่าคำนี้ มักใช้กับพระสงฆ์ที่เทศนา อบรม สั่งสอน หรือใช้ตอบรับในบทสวดมนต์ต่างๆ การที่จะใช้กับคนทั่วไปนั้น โดยเฉพาะกับครูหรือผู้ปกครองแล้ว มักใช้ในเชิงเสียดสี ประชดประชันเสียมากกว่า ว่าแสดงพระธรรมเทศนาเก่งดังกับพระคุณเจ้าเลย (ฮา)

โครงการเข้าค่ายพระ ครู ผู้ปกครอง และนักเรียน ของโรงเรียนบ้านกร่างวิทยาคมดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน ทุกปีการศึกษาจะมีกิจกรรมเช่นนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง สมัยก่อนเรียกว่า ค่ายพุทธบุตรสำหรับปีการศึกษานี้ โรงเรียนจัดขึ้นในวันที่ 19-20  มกราคม 2555 นักเรียนที่ร่วมกิจกรรมเป็นทุกชั้นเรียน ยกเว้น ม.3 ซึ่งใช้ช่วงเวลาเดียวกันนี้ ทำกิจกรรมเข้าค่ายพักแรมลูกเสือ-เนตรนารี

วิธีดำเนินการใช้วิธีเดียวกันตลอดมา กล่าวคือ นิมนต์พระคุณเจ้าให้มาดำเนินการ ส่วนใหญ่หรือแทบทุกครั้งจะนำนักเรียนไปที่วัด อาจพักค้างบนศาลา อาคาร หรือกลด ก็แล้วแต่ความพร้อมของวัดต่างๆ ที่เราหมุนเวียนนำนักเรียนไป แต่ปีนี้และปีที่ผ่านมา โรงเรียนนิมนต์พระให้เข้ามาดำเนินการที่โรงเรียนเลย ปักกลดนอนกันกลางสนาม สถานที่อบรมส่วนใหญ่ก็ใช้หอประชุมเป็นหลัก

กิจกรรมต่างๆจะเป็นการทำสมาธิ เดินจงกรม ให้ความรู้ต่างๆในการดำเนินชีวิต ไปจนถึงการคบเพื่อน ฯลฯ กิจกรรมหนึ่งที่คุณครูหลายท่านคุ้นเคยก็คือ พิธีเทียนนักเรียน ครู และผู้ปกครองร่วมนั่งเพ่งเปลวไฟจากเทียน ซึ่งสะบัดไหวไปตามแรงลม ท่ามกลางความมืดมิดของหอประชุม เพราะไฟทุกดวงถูกปิด ทั้งนี้เพื่อสร้างบรรยากาศให้ตระหนักถึงพระคุณของพ่อ แม่ และครูบาอาจารย์ ไปจนถึงให้ปฏิบัติตัวเป็นคนดี เพื่อตอบแทนพระคุณอันเปี่ยมล้นของท่านเหล่านั้น โดยมีพระคุณเจ้ารูปหนึ่งบรรยายหรือพยายามพรรณนาถึงคุณงามความดีของบุคคลต่างๆตามที่กล่าวมา  

จากนั้นจะให้นักเรียนทุกคนคลานเข่าเข้ามากราบ เพื่อเป็นการแสดงตนว่า ได้สำนึกแล้วในความผิด ความชั่ว หรือสารภาพบาปที่ได้กระทำกับครูอาจารย์มา ก่อนหน้านั้นนั่งฟังพระคุณเจ้าแล้ว ก็ให้นึกแต่สงสัย ลูกศิษย์เราได้กระทำความผิด ความชั่วร้าย หรือดูหมิ่นเหยียดหยามครูตัวเอง ซึ่งหมายรวมถึงตัวผมด้วย ขนาดนั้นเชียวหรือ?(ฮา)

ในกิจกรรมนี้คุณครูร่วมสิบคนถูกเกณฑ์มานั่งด้านหน้าเวที เพื่อให้ลูกศิษย์กราบ เมื่อครบนักเรียนที่มีกว่า 400 คน จึงค่อยรู้สึกสบายใจ เพราะลูกศิษย์ทั้งหมดที่เข้ามากราบ ไม่มีสักคนเดียวที่สารภาพบาปกับผม (ฮา) ต่อด้วยครูทุกคนร่วมสิบคนนั้น ต้องพูดคุยอะไรให้นักเรียนฟัง พระคุณเจ้ากำหนดให้คนละ 3-4 นาที ผมเองรับหน้าที่นี้เป็นคนท้ายสุด

กราบนมัสการพระคุณเจ้า เรียนแขกผู้มีเกียรติ เพื่อนครู และสวัสดีนักเรียนทุกคน ครูเคยเถียงกับเพื่อนอย่างเอาเป็นเอาตายในเรื่องคุณงามความดี ความดีคืออะไร ความดีของแต่ละคนเหมือนกันไหม? บทสรุปที่ครูได้ต่อมาก็คือศีล 5” ความดีคือประพฤติได้ตามศีล 5  แค่ 5 ข้อเองนะ แต่สุดยอดมาก ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าคิดออกได้อย่างไร สังคมจะสงบ ร่มเย็น และน่าอยู่ทันที ถ้าทุกคนปฏิบัติตามศีล 5 อย่างเคร่งครัด ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ลักขโมย ไม่ประพฤติผิดลูก เมีย หรือสามีคนอื่น ไม่พูดปด และไม่เสพสารเสพติด แค่ 5 ข้อเหล่านี้แหละ

หากนึกไม่ออก นักเรียนลองคิดถึงสังคมสักสังคมหนึ่งก็ได้ อาทิ โรงเรียนเรา ถ้าโรงเรียนมีแต่หัวขโมย นักเรียนวางข้าวของตรงไหน ต้องระวังหายตลอด มีแต่คนจ้องจะลักทรัพย์เต็มไปหมด อย่างนี้น่าอยู่ไหม นี่แค่เพียงข้อเดียวเองนะ ถ้าพูดปด ถ้าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตด้วย หรือถ้าอะไรอื่นๆอีกล่ะ?

ครูเคยคิด จนเรียนจบเป็นครูแล้ว ก็ยังคิดไม่ออก ยังไม่รู้เลยว่า ศาสนากับกฎหมายต่างกันยังไง มีกฎหมายแล้วจะมีศาสนาอีกทำไม หรือมีศาสนาแล้วจะมีกฎหมายให้ซ้ำซ้อนกันทำไม เอาแค่อย่างใดอย่างหนึ่งได้ไหม มีศาสนาไม่ต้องมีกฎหมาย หรือ มีแต่กฎหมายไม่ต้องมีศาสนาก็ได้

มันคล้ายกันใช่มั้ย? กฎหมายคือข้อบังคับ มาตราต่างๆ ห้ามทำโน่นทำนี่ เพื่ออะไร ก็เพื่อให้สังคมที่เราอยู่สงบสุขไง ศาสนาก็เช่นกัน ศีลหรือข้อปฏิบัติก็เพื่อให้สังคมสงบสุข จนวันหนึ่งจึงพอเข้าใจ ถ้าเรายังทำชั่วเพราะปลอดคนรู้เห็น ลับหลังคน ไม่มีพยานหลักฐาน อย่างนี้ในทางกฎหมายไม่ผิด แต่ในทางศาสนาแล้วอย่างนี้ก็ผิด ศาสนาเป็นเรื่องของจิตใจ เพราะตัวเรารู้ รู้อยู่แก่ใจว่าเรากำลังทำอะไร กฎหมายจึงป้องกันคนทำชั่วได้เฉพาะต่อหน้า แต่ศาสนาป้องกันคนทำชั่วได้ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แล้วสิ่งไหนจะทำให้สังคมสงบได้จริง หรือยั่งยืนกว่ากัน

หลายคนเชื่อว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว บางคนไม่เชื่อ เพราะคนทำชั่วได้ดีมีถมไป ขณะที่หลายคนเพียรทำดี ก็ไม่เห็นจะได้ดีสักที แต่ครูเชื่อว่า ทำดีก็น่าจะได้ดี ทำชั่วก็น่าจะได้ชั่วเป็นเรื่องของโอกาส ซึ่งคณิตศาสตร์เรียกความน่าจะเป็นไม่ได้หมายความว่า อย่างนี้ก็ไม่ต้องทำดีกันแล้วสินะ เปล่าเลย! ต้องทำความดี ทุกคนต้องเป็นคนดี เพราะจะทำให้สังคมสงบสุข เป็นสังคมที่น่าอยู่ แล้วทำดีทำอย่างไร ก็ปฏิบัติให้ได้ตามที่พระพุทธเจ้า ซึ่งถือว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์เอกคนหนึ่งของโลกด้วย ได้ทรงคิดค้นไว้ศีล 5 ไงง่ายๆ 5 ข้อเอง ไม่ต้องมากมายหลายมาตรา

ครูขอฝากนักเรียนไว้เพียงเท่านี้..

“สาธุ” นักเรียนทั้งหอประชุมพร้อมใจกันกล่าวขึ้น (ฮา)

หมายเลขบันทึก: 475515เขียนเมื่อ 20 มกราคม 2012 21:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กันยายน 2015 16:07 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

* คำว่า "สาธุ".."อนุโมทนา สาธุ"..ใช้บ่อยๆ ได้รับบ่อยๆ ได้ยินบ่อยๆ หลังจากที่มีใคร หรือตัวเราเอง ได้เห็น หรือบอกกล่าวสิ่งดีๆมีบุญกุศลระหว่างกัน

* อย่างเรื่องเล่าการจัดค่ายพุทธศาสนนาเพื่อบ่มเพาะศีลธรรมจรรยาแก่นักเรียนเช่นนี้ ขอ " อนุโมทนา สาธุ " ดิวยค่ะ

สวัสดีวันจ่ายค่ะคุณครู

เมื่อเช้าฤกษ์งามยามดี ได้มีโอกาสดูทีวี ทำวัตรเช้า เข้าบรรยากาศ มากๆ ค่ะ

ชอบภาพสุดท้ายของครู ดูสงบ มากๆ อนุโมทนาสาธุบุญ ขอบคุณเจ้าค่ะ :)

***...พุทธศาสนิกชนล้วนเชื่อกันว่า....  พุทธศาสนาสามารถช่วยกล่อมเกลาจิตใจผู้คนให้เป็นคนดีของสังคมได้ ....ยกเว้นบัวใต้โคลนตม ....หรือบัวเต่าถุย..(แม้แต่เต่าเมื่อเผลอเคี้ยวกินยังต้องคายทิ้ง) ...*** 

  
                                                                   animated gif of happy turtle dancing

บรรยากาศ ใช้ได้เลยคะ เข้ามาแวะชม

ห่างจาการเข้ามาอ่านนานเลย

สบายดีนะคะ อาจารย์

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท