พุทธศาสนา”ไม่ใช่”วิทยาศาสตร์
นักวิเคราะห์หลายท่านมักแสดงความคิดว่า พุทธศาสนานี้ดี เพราะเป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ สามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ด้วยตนเอง ....ซึ่งผมว่าเป็นการ “ลบหลู่” ศาสนาพุทธประการหนึ่ง
อาจจะฟังยากสักหน่อยที่ว่าลบหลู่ศาสนา เพราะเราท่านที่เป็นชาวพุทธส่วนใหญ่จะบังเกิดความยินดีพอได้ฟังคำนิยมว่าศาสนาของเรานี้เก่ง “เท่า” วิทยาศาสตร์ของฝรั่งเชียวนะ
แต่ผมขอเสนอความเห็นแย้งว่า แท้จริงแล้วหลักศาสนาพุทธนั้น “สูง” กว่าหลักวิทยาศาสตร์มากนัก
หลักการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ของฝรั่งนั้น ไม่ต่างอะไรกับคำพังเพยไทยโบราณที่ว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ ไปได้ กล่าวคือ ใช้เวทนา ๖ แห่ง “ประสาทสัมผัส” เป็นเครื่องพิสูจน์ หนีไม่พ้นอายตนะทั้งหก คือ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ส่วนหลักการสำคัญของพุทธศาสนานั้น มันเลย “เวทนา๖” ไปเสียอีก ซึ่งเป็นหลักสำคัญของทฤษฎีปฏิจจสมุปบาท ความตอนหนึ่งว่า เมือมีอายตนะ ก็มีผัสสะ(การสัมผัส) ก็มีเวทนา ตัณหา อุปทาน ...อุปทานคือการยึดติด ในที่นี้ก็คือการยึดติดกับ “ความจริง” นั่นเอง
ผมได้เขียนบทความไว้หลายบทที่พยายามจะบอกว่า มนุษย์เราทุกวันนี้กำลัง “งมงายในเหตุผล” ที่มาพร้อมกับวิทยาศาสตร์และตรรกศาสตร์ ซึ่งผมว่ามันน่ากลัวยิ่งเสียกว่าการงมงายในไสยศาสตร์เสียอีก
วิทยาศาสตร์นั้น ผมว่าเป็นเพียงบันไดขั้นแรกของพุทธศาสตร์เท่านั้นเอง คือ ในช่วงแรกศาสนาพยายามใช้เหตุผลชักจูง ชี้นำ เพื่อให้บุคคลเกิดศรัทธาในศาสนา พอมีศรัทธาแล้วก็จะปฏิบัติหนักขึ้นเรื่อยๆ จนหลุดพ้นในที่สุด
สภาวะแห่งการหลุดพ้นนั้นมัน “นอกเหตุเหนือผล” (วลีทีเด็ดของหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง) ฝรั่งอาจเรียกว่า transcendental หรืออะไรก็แล้วแต่ ท่านพุทธทาสภิกขุก็บอกว่า “จงหลุดพ้นเสียจากการหลุดพ้น” ส่วนหลวงพ่อโตวัดระฆังก็สอนนักวิทยาศาสตร์ฝรั่งที่เข้ามาสอดแนมในสมัย ร ๕ แบบกลายๆ ว่า “โลกเรานี้มีอายุเท่าอาตมานี่แหละ”
หลวงพ่อชาสอนอีกจุดว่า “คิดเท่าไรก็ไม่รู้ เมื่อหยุดคิดจึงได้รู้” อันนี้ก็ต่างจากคำสอนของไอน์ไสตน์มาก ที่สอนว่า “จงคิด คิด คิด...แล้วท่านจะรู้”
สภาวะแห่งการหลุดพ้นนั้น ผมเชื่อว่า ไม่อาจ “คิด” เอาได้ เพราะถ้าเช่นนั้นคนจีเนียสที่ไอคิวสูงๆ คงตรัสรู้กันหมดแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน พวกโง่ปานบัวเหล่าที่สี่ก็คงยากที่จะบรรลุได้
ท่านพุทธทาสเคยพูดว่า พวกฝรั่งมันฉลาดมาก ช่างคิดค้นอะไรในเชิงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีได้มากมายอย่างเหลือเชื่อ ถ้าพวกเขาจะอุทิศเวลามาศึกษาพุทธธรรมกันมากๆ คงจะได้บรรลุกันมากหลายทีเดียว แต่นั่นแหละจะไปสอนให้แมลงวันเลิกตอมอาจม แล้วหันมาดูดน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ มันคงยากอยู่ แม้แต่คนเรา เช่น คนอีสาน นิยมกินปลาร้าเหม็นๆ คนภาคกลางกินน้ำพริกกะปิเหม็นๆ ก็ว่ามันอร่อย จะไปสอนให้มาหัดกินเจจืดๆ ประเภทผัดถั่วงอกใส่เต้าหู้ ก็แสนยากพอกัน
การทำจิตให้ว่างนั้น หาใช่ว่ามันว่างแบบไม่มีอะไรเลย แท้จริงแล้วมันมี ..แต่มันมีแบบไม่มี (มุกนี้ท่านพุทธทาสภิกขุท่านหยอดไว้ได้ถึงใจดีนักแล)
...คนถางทาง (๑๗ มค. ๒๕๕๔)
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ แต่จะเป็นอะไรก็ช่าง ท้ายสุดก็ไม่มีอะไรครับ
ผมเห็นด้วยว่า ศาสนาพุทธิเป็นศาสนาที่ล้ำยุคมาก นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังตามไม่ทันเลย เช่น การค้นพบจักรวาลใหม่ ค้นพบดาวดวงที่อาจมีมนุษย์อาศัยอยู่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาตั้งนานมากกว่า 2555 ปีแล้ว ผมไปพบภาพวาดนิมิตจักรวาลที่อุทยานพระแม่กวนอิมพันมือที่เพชรบุรี มีรูปวาดจักรวาลอื่นมากมาย ตอนแรกไม่เคยเชื่อเลย แต่พอนักวิทยาศาสตร์ออมาเปิดเผยว่า ได้ค้นพบดาวโน้นดาวนี้ผมก็เริ่มเชื่อว่า พระพุทธเจ้าท่านเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก พระองค์ท่านรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ อีกตัวอย่างที่คนมักเชื่อฝรั่งมากคือ การวิจัย ซึ่งพระพุทธเจ้าสอนเรามาตั้ง 2555 ปีแล้ว การวิจัย คือ อริยสัจ 4 นั่นเอง ผมใช่วิธีของพระองค์ไปสอนการวิจัยหน้าเดียวให้กับอาจารย์ครับ หลายคนอาจมองไม่ออก การวิจัยบทที่ 1-5 คือ อริยสัจจ 4 ครับ ลองคิดดูนะครับว่าจริงหรือเปล่า
แต่เราต้องไม่ลืมว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้น ย่อมดับเป็นธรรมดา
สาธุๆๆ เหนือรูป เหนือนาม วิทยาศาสตร์สงสัยในรูป พุทธศาสตร์ไม่สงสัยทั้งในรูป และนาม
ตั้งแต่ คุณ ถางทาง มา ทุกเส้นทาง เดินแล้วเพลิดเพลินยิ่งนัก แล้วบันทึกนี้ก็เป็นอีกเส้นทางหนึ่ง ที่เข้ามาเรียนรู้แล้วประเทืองปัญญาดีแท้ เพียงแค่ได้อ่านอะไร ที่ไม่เหมือนใคร
แต่จะว่าไปแล้ว หากใครติดตาม ผลงานค้นคว้าใหม่ๆของนักวิทยาศาสตร์ จะเห็นได้ว่า ผลงานใหม่ๆเหล่านั้น ได้ตอบข้อสงสัยให้กับพุทธศาสตร์มากขึ้นนะ (หากแต่พูดไป เดี๋ยวใครจะหาว่าเราเหลวไหล งมงายอีก ! :)