คาราโอเกะ(karaoke) เป็นคำญี่ปุ่นที่ประสมจากสองคำ คือ คารา ซึ่งแปลว่า “ว่างเปล่า” กับ โอเกะ ซึ่งกร่อนจากคำเต็มว่า โอเกะสึโตะระ อันเป็นเสียงญี่ปุ่นของคำว่า orchestra ดังนั้น คาราโอเกะ จึงหมายถึงดนตรีบรรเลงล้วนๆ
การบุกเบิกคาราโอเกะ เริ่มจากมือกลองชาวญี่ปุ่น ชื่อ ไดสุเกะ อิโนอุเอะ ซึ่งได้บันทึกดนตรีบรรเลงล้วนๆ ลงในเทปคาสเสต เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔ เพื่อใช้แบ็คอัพการร้องเพลงแทนการใช้วงดนตรีจริงๆ หลังจากนั้นก็แพร่หลายในหมู่นักร้องอาชีพที่ร้องเพลงได้สะดวกและประหยัดกว่าเดิมเพราะไม่ต้องพึ่งวงดนตรี การพัฒนาโปรแกรมคาราโอเกะดำเนินคู่กันมากับการใช้อิเลคโทนเล่นแทนวงดนตรี จนล่วงเข้ายุคดิจิตัล การเลียนเสียงเครื่องดนตรีด้วยเครื่องมืออิเลคตรอนิค เช่น ซินธิไซเซอร์ ได้ทำให้เกิดการพัฒนาคาราโอเกะ ด้วยระบบ มีดี (MIDI : Musical Instrument Digital Interface) อย่างที่ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน
ดนตรีที่บันทึกลงในโปรแกรมคาราโอเกะ เท่าที่มีในเมืองไทยนี้ ประณีตบ้าง หยาบบ้าง นอกจากขึ้นกับตัวโปรแกรมเองแล้ว ยังขึ้นกับเนื้อหาทางดนตรีด้วย บางเพลงทำได้ประณีตตรงกับต้นฉบับ ขณะที่บางเพลงเลือกใช้เฉพาะที่จำเป็น ทั้งสองวิธีนี้เป็นเรื่องธรรมดา ดังจะเห็นได้จากเพลงเดียวกันวงออร์เคสตราจะเล่นได้ละเอียดกว่าการเดี่ยวด้วยเปียโนหลังเดียว เป็นต้น ในบางกรณี ที่หาดนตรีต้นฉบับไม่ได้ (เช่นเป็นเพลงเก่าเหลือเกินหรือเป็นเพลงภาษาอื่น) นักเรียบเรียงก็ต้องสร้างขึ้นใหเอง ซึ่งมีทั้งประณีตและไม่ประณีต มีทั้งเข้าท่าและไม่เข้าท่า แล้วแต่วิทยายุทธของผู้ทำ เรื่องเหล่านี้ ผู้รู้ดนตรีจะฟังออกและบอกคุณภาพได้
แต่สำหรับนักร้อง-โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักร้องสมัครเล่น- น้อยคนจะรู้เรื่องนี้ และบางรายไม่รับรู้อะไรเลย หลายๆปีก่อนนี้ มีนักร้องสมัครเล่นประเภทหลังขึ้นไปร้องเพลงแล้วล่มบ่อยๆ ระยะหลังนี้ ปรากฏการณ์เช่นนี้ลดลงมาก ที่เป็นเช่นนี้ เพราะโอกาสที่จะได้ฝึกฝนร้องเพลงให้ถูกต้องทั้งทำนองและจังหวะมีมากขึ้น เนื่องจากมีให้ฝึกให้ซ้อมถึงบ้าน แทบกล่าวได้ว่า ถ้ามีคอมพิวเตอร์ก็จะมีคาราโอเกะโดยอัตโนมัติ
การร้องเพลงคาราโอเกะแพร่หลายจากนักร้องอาชีพสู่นักร้องสมัครเล่นมาตั้งแต่ยุคแรกๆแล้ว ปัจจุบันนี้ ในเมืองไทยเราดูเหมือนว่า คาราโอเกะ จะถูกเหมาว่าเป็นอุปกรณ์ประกอบการร้องเพลงของมือสมัครเล่นโดยเฉพาะด้วยซ้ำ
จะอย่างไรก็ตาม การร้องเพลง(ไม่ว่าจะมีคาราโอเกะช่วยหรือไม่ก็ตาม) มีประโยชน์หลายอย่าง กล่าวเฉพาะมือสมัครเล่น ก็มีประโยชน์ สามประการเห็นๆ คือ
๑. ได้ฝึกและได้ใช้ประสาทกับอวัยวะที่เกี่ยวกับเสียง ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นคือ ได้ฝึกซ้อมโสตประสาทให้แม่นยำทั้งในด้านระดับเสียง (pitches) และจังหวะ (time) กับได้ฝึกซ้อมการบังคับอวัยวะสำหรับเปล่งเสียง(articulators) อย่างสม่ำเสมอ
๒. การร้องเพลงคือการทำสมาธิอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งต่างกับวิธีนั่งนิ่งๆ(ซึ่งอาจทำให้เข้าใจผิดได้ว่า ถ้าไม่นั่งนิ่งๆ ไม่ใช่การทำสมาธิ) ถ้าไม่มีสมาธิ ต่อให้เป็นนักร้องอาชีพก็มีโอกาสทำให้เพลงล่มได้ สมาธิในการร้องเพลงนี้ คล้ายกับสมาธิในการเขียนภาพสีน้ำ ตรงที่ต้องทำรวดเดียวจนจบ จะทิ้งค้างไว้ก่อนแล้วค่อยมาต่อทีหลังไม่ได้ (เรื่องสี้น้ำนี้ ขออ้างอิง ดร.สุชาติ วงษ์ทอง จิตรกรสีน้ำมือใหญ่ ซึ่งเป็นกัลยาณมิตรผู้หนึ่งของผม)
๓. มีสังคมมิติเพิ่มขึ้น กรณีนี้เกิดจากการออกไปร้องเพลงนอกบ้าน ซึ่งทำให้ได้พบปะมักคุ้นกับคนคอเดียวกัน และมีโอกาสเจริญทางไมตรีได้อีกด้วย
การร้องเพลงไม่น่าจะมีข้อเสีย ถ้ามีก็มักเป็นของผู้ร้องเองเสียมากกว่า เช่นร้องเพลงคร่อมจังหวะซึ่งไม่ใช่ข้อเสียหายร้ายแรง กับร้องเพลงไม่ตรงกับบันไดเสียงซึ่งบางรายแก้ไขได้ด้วยการปรับบันไดเสียงดนตรี แต่บางรายแก้ไขไม่ได้ เช่นกรณีที่ผู้นั้นบอดเสียง (tone deaf) เ ป็นต้น
ครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ผมได้ยินวณิพกคนหนึ่งพูดถึงการร้องเพลงในตลาดของตนว่า น่าจะเป็นวิธีขอรับสตางค์จากผู้อื่นที่ดีกว่าไปร้องไห้โอดครวญให้คนสงสารเป็นไหนๆ เพราะการร้องเพลง นับเป็นบริการอย่างหนึ่ง ซึ่งมีสิทธิ์ได้รับค่าตอบแทนตามสมควร
สรุปได้สั้นๆว่า ร้องเพลงดีกว่าร้องไห้ นั่นเอง
นับว่าเป็นวาทะที่น่าสนใจทีเดียว แต่ใครจะเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเสรีภาพของปัจเจกชนทุกผู้อยู่แล้ว
ไม่มีความเห็น