สงสัยเป็นเพราะชื่อบันทึกมีคำว่า "หายไปไหน?..." จึงเป็นเหตุให้บันทึกต้อง "หายไป" จากบล็อกถึงสองวันเต็มๆ เหตุเพราะพี่เม่ยเผลอไปกดปุ่ม "แจ้งลบ" ที่มุึมล่างขวาของบันทึกเข้าให้ (ใครคิดจะทดสอบปุ่มนี้บ้างก็ได้นะคะ แต่ขอเตือน...กู้กลับไม่ได้น้าาา)
เพราะรู้ตัวเองดีว่าชอบพลั้งเผลอทำอะไรที่เสียหายบ่อยๆ ก็เลยฝึกตนเองให้ทำการ "save" ข้อมูลทุกอย่างไว้เป็น back up อยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เลยสามารถค้นไฟล์มาทำการเขียนเป็นบันทึกขึ้นใหม่ ที่มีเนื้อหาเหมือนเดิมเปี๊ยบได้อย่างทันทีทันควัน...
เข้าเรื่องเลยดีกว่าค่ะ...
และแล้วผลทดสอบ Hb typing จากเลือดของผู้ป่วยที่เจาะเมื่อวานนี้ก็ออกมาแล้ว ดูจากโครมาโตแกรมที่แสดงออกมา ยังไง๊ยังไงก็ยังไม่เห็น peak ของ Hb H อยู่ดีนั่นแหละ (ดูรูปเปรียบเทียบด้านล่างเลยค่ะ)
ก่อนอื่นดูโครมาโตแกรมของคนปกติก่อน ที่กรอบสีแดงไว้คือบริเวณที่จะปรากฏฮีโมโกลบินเอช และ บาร์ท ซึ่งในคนปกตินี้ ไม่พบ |
|
ส่วนคนที่เป็นโรคธาลัสซีเมียชนิด ฮีโมโกลบินเอช ทั่วๆไป จะพบ peak ของฮีโมโกลบินเอชขึ้นที่บริเวณที่กรอบสีแดง |
|
นี่เป็นของเด็กคนนี้ แรกคลอดก็มีฮีโมโกลบินบาร์ท peak สูงเชียว ตามที่วงสีแดงไว้ |
|
พออายุครบ 1 ปี ฮีโมโกลบินบาร์ทก็หายไป แต่ไม่มี peak ของ ฮีโมโกลบินเอช แต่สังเกตให้ดีๆ เทียบกับคนปกติจะเห็นรอบหยักสูง กว่าเล็กน้อย แถมมีลักษณ "หัวแตก" อีกด้วย |
|
อันนี้ล่าสุด เลือดที่ตรวจเสร็จหมาดๆ ก็ไม่มี peak ของฮีโมโกลบิน เอชอยู่ดีนั่นแหละ (แหม แล็บเราเจ๋งจริงๆ ทำได้ยังไงก็ยังงั้น ไม่มีคลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย) แต่สังเกตเห็นรอยหยักชนิด "หัวแตก" อีกเหมือนเดิม |
|
สรุปว่าคงต้องตอบคุณหมอไปว่า ตรวจใหม่แล้วผลก็ยังเป็นเหมือนเดิม และคำถามก็ยังคงวนเวียนอยู่ในใจว่า "ฮีโมโกลบินเอช หายไปไหน??"
และยังแถมคำถามเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเรื่องคือ "..หรือรอยหยัก "หัวแตก" จะเป็นจุดสังเกตสำหรับเคสที่มีฮีโมโกลบินเอชต่ำมากๆ??" (อย่างที่เห็นในรูป inclusion body ของบันทึกที่ผ่านมาว่ามีอยู่ในเม็ดเลือดแดงเพียงไม่ถึงร้อยละ 10 เท่านั้น)
คราวนี้คงต้องพึ่งวิทยาการที่ทันสมัยมากขึ้น ก็ต้องพิสูจน์กันด้วย ดีเอ็นเอกันล่ะค่ะ พี่เม่ยจึงนำเลือดที่เหลือไปปรึกษา อ.จำนงค์ ว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง
อ.จำนงค์ตั้งข้อสันนิษฐานว่า "สงสัยเด็กคนนี้ เป็นเบต้าธาลัสซีเมีย ร่วมด้วย..." ต้องพิสูจน์
ไม่มีความเห็น