การให้ตามหลักทางพุทธศาสตร์คือการให้สิ่งของบุคคลที่ควรได้รับมี ๔ ประเภทคือ บิดามารดา
ญาติพี่น้อง พระสงฆ์ ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากการให้อย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์ ในฐานะผู้ให้ เมื่อจะให้ก็ไม่ควรที่จะเข้าไปยึดติดกับวัตถุสิ่งของที่จะให้
เมื่อมอบให้ไปแล้วก็ถือว่าแล้วไป ทำใจให้ผ่องใสเขาจะทำอย่างไร ไม่ต้องเอาใจไปเป็นภาระคิดให้เสียเวลา
การได้รับสิ่งของที่ได้มา ถึงสิ่งของนั้นจะมีคุณค่ามากหรือคุณค่าน้อยก็ควรตระหนักเสมอว่า เราจะทำสิ่งของนั้นให้มีคุณค่า ให้เป็นประโยชน์ต่อเราได้อย่างไร
ให้อย่างไร ที่ผู้รับไม่ต้องหนักใจ และผู้ให้ไม่รู้สึกว่าเสีย คือการให้กำลังใจ
กำลังใจถือว่าเป็นพลังภายในที่มีความสำคัญมากในการดำเนินชีวิต เมื่อคราวประสบภัย มีอุปสรรค ใดๆ กำลังใจคือโอสถอันวิเศษ ที่มีอยู่ภายในตน จงรู้จักใช้กำลังใจให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง
ผู้ฉลาดย่อมรักษาประโยชน์ที่ได้คือสิ่งของและกำลังใจที่ได้รับ ให้เป็นพลังผลักดันต่อสู้ยืนหยัด ต่อสู้เพื่อเอาชนะอุปสรรคที่ขวางกั้น
การให้ นอกจากการให้วัตถุสิ่งของ ที่สามารถจับต้องมองเห็นได้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่มีการให้ที่ยิ่งใหญ่กว่า คือการให้อภัย
การให้อภัย คือการไม่ถือโทษโกรธเคือง ไม่เคียดแค้น ไม่อาฆาตไม่พยาบาทปองร้าย ย่อง่ายๆ คือการไม่เอาใจไปผูกติดกับสิ่งนั้นๆคือสิ่งที่เราพอใจหรือไม่พอใจ
การให้อภัย คือการให้อโหสิ การยกโทษให้ ไม่ถือโทษโกรธแค้น ฯ แม้เรื่อนั้นจะเลวร้ายอยู่บ้าง หากไม่เป็นโทษหนักหนาสาหัสก็ควรแก่การที่จะให้อภัย เพราะคนเราอยู่ร่วมสังคมกันได้ ก็ด้วยใจ
ใจที่มีน้ำใจ ใจที่มีพลัง ใจที่มีมนุษยสัมพันธ์ ใจที่มีความมุ่งมั่นสร้างสรรค์ให้สังคมอยู่เป็นสุข การให้อภัยกันจึงมิใช่เรื่องยาก
การให้อภัย ปราชญ์ทั้งหลายจึงยกย่องสรรเสริญว่าเป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้ที่ฝึกฝนอบรมตนมาดีแล้ว เป็นที่พึ่งหวังของสังคมได้จึงสามารถให้ที่ยิ่งใหญ่แก่คนอื่นได้ คือการให้อภัย
ไม่มีความเห็น