การดูแลสุขภาพด้วยตนเอง มีนัยยะมากไปกว่า การจัดเก็บข้อมูลจากโรงพยาบาล แล้วไป "unzip" ที่บ้าน..แต่ยังหมายถึง
การสร้าง"แรงจูงใจ" เพื่อดึง "ความฉลาดทางสุขภาวะภายใน" ของตนเอง ออกมาจัดการกับปัญหาตนเองด้วย..ครั้งนี้มีสองภาคคะ
ภาคแรก -- การทดลองที่ทำให้เห็นภาพ แรงจูงใจ : เก็บตกจากรายการ TED talk
ภาคสอง -- มุมมองตะวันตกต่อ ความฉลาดภายใน : เก็บตกจากการบรรยายที่ฟังวันนี้ ณ สถาบันการแพทย์ผสมผสาน UCSF Oscher
###
เมื่อ 60 กว่าปีก่อน นักพฤติกรรมศาสตร์นาม Karl Duncker ได้ทดลองโดยตั้งโจทย์ว่า เมื่อให้อุปกรณ์ ได้แก่ แท่งเทียน กล่องกระดาษแข็ง เข็มหมุด ไม้ขีด
ทำอย่างไรให้ใช้อุปกรณ์ทุกอย่าง แล้วเทียนไม่หยดลงโต๊ะ
.
แบ่งอาสาสมัครเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้เงินเป็นแรงจูงใจหากแก้ปัญหาสำเร็จ ส่วนอีกกลุ่มไม่ให้อะไร
.
กรณี A : กลุ่มแรกที่สัญญาว่าจะให้เงินหากสำเร็จ เสร็จ "ช้ากว่า" กลุ่มที่ไม่ได้อะไร 3 นาทีครึ่ง
กรณี B : กลุ่มแรก กลับเสร็จ "เร็วกว่า" อีกกลุ่มหนึ่ง
แปลว่าอะไร ?? ( Hint - กรณี A ต่างจาก B อย่างไร)
ภาพจาก TED talk: Dan Pink on the surprising science of motivation
ในวีดีโอ Dan Pink กล่าวสรุปจากการทดลองดังนี้
กรณี A: เป็นปัญหาที่ต้องการคิดนอกกรอบ กล่าวคือ ผู้ที่แก้ปัญหาได้ ต้องมองกล่องซึ่งทำหน้าที่ใส่เข็มหมุด ว่าสามารถทำหน้าที่เป็นเชิงเทียนได้ด้วย..หากยึดติดกับความคุ้นเคยเดิม (Functional fixedness) จะแก้ไม่ได้
กรณี B : เมื่อทำให้กล่องว่างๆ เสีย ไม่มีกับดักให้ติดยึด
ปรากฎว่า การให้รางวัลเป็นเงินล่อ แย่ในกรณี A แต่ดีในกรณี B
..
หากแบ่ง แรงจูงใจเป็นสามระดับ
ระดับ 1: ความต้องการพื้นฐานทางกาย คือไม่หิว ไม่เจ็บ
ระดับ 2: ความต้องการสูงขึ้น คือ เงิน คะแนน รางวัล
ระดับ 3: มีสามประการ คือ
- ตนเองมีสิทธิเลือก : Autonomy
- พัฒนาทักษะในสิ่งที่ตนถนัด : Mastery
- ทำสิ่งที่มีความหมายต่อผู้อื่น/สังคม : Purpose.
เราต่างมีแรงจูงใจระดับ 1 เพื่อความอยู่รอด
###
ตอนต่อไป จะขอโยงถึงหัวข้อที่ฟังบรรยายวันนี้ค่ะ Mindful based stress reduction -- วิถีตะวันออกที่ใส่รสตะวันตก
การเรียนรู้เรื่อง "แรงจูงใจ" ใช้ในกระบวนการสอนนักศึกษาครูได้เป็นอย่างดีเลยครับ คุณหมอบางเวลา ;)...
ขอบคุณครับ
*น่าสนใจมากค่ะ...แรงจูงใจดึงความฉลาดภายใน..ที่ช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จอันพึงประสงค์ให้เร็วขึ้น
*นึกย้อนประสบการณ์ในชีวิตของตนเอง เป้าหมายในแต่ละช่วงที่..ต่างระดับ..ต่างวัตถุประสงค์..ได้แรงจูงใจที่ผลักดันความคิดและความเพียรให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จในหลายรูปแบบ..ด้วยวิธีนอกกรอบ ที่แลกด้วยต้นทุนชีวิตหลายอย่าง..(ขอสงวนไม่เล่าในที่นี้ เพราะจะกลายเป็น "ตนข่มผู้อื่น" ที่ติดกรอบเดิมๆ)
ขอบคุณค่ะอาจารย์
ตัวอย่างใกล้ๆ ตัวเรา ของแรงจูงใจระดับ 3
คงเป็นบล็อกดีๆ (รวมทั้ง 1000+ บทความของอาจารย์)
ใน gotoknow นี้เองค่ะ
"ด้วยวิธีนอกกรอบ ที่แลกด้วยต้นทุนชีวิตหลายอย่าง"
ฟังประโยคนี้แล้ว รู้สึกอยากฟังประสบการณ์พี่ใหญ่ด้วยใจจริงค่ะ
ชื่นชมพี่ใหญ่ที่ละเอียดอ่อนเข้าใจความอ่อนไหวของผู้อื่น..
โดยส่วนตัว เชื่อว่า วิธีคิด วิธีดำเนินชีวิต ของผู้ประสบความสำเร็จ เป็นสิ่งควรเรียนรู้เป็นอย่างยิ่งค่ะ
อาจารย์หมอ...ผู้ทรงอิทธิพลครับ...
น่าสนใจในบันทึก...ใช้แรงจูงใจ ดึงความฉลาดภายใน
ความฉลาด ที่มีทั้งด้านบวกและลบ
...............
คุณหมอให้เงินจูงใจ...กับคนไข้โรคเรื้อนและวัณโรค...ในการกินยาประจำเดือนและกลับมารักษาตามนัด...คนไข้ก็มาตามนัด...แต่เมื่อครบตามกำหนดโรค...กลับไม่หาย...เพราะคนไข้ยังอยากรักษาสถานภาพการเจ็บป่วยไว้เพื่อได้เงิน...
...............
คุณตาอายุ 60 ปี ต้น ๆ ได้เงินเบี้ยผู้สูงอายุแล้วเดือนละ 500 บาท มาขอคุณหมอรับรองความเป็นพิการด้านหูไม่ได้ยิน...ผ่านไป 1 ปี พร้อมกับได้เงินเบี้ยผู้พิการอีก 500 บาท เป็น 1,000 บาทต่อเดือน...มาขอคุณหมอให้ยกเลิกความพิการ...เพราะไปทำใบขับขี่แล้ว จนท.ไม่ทำให้...และอาชีพของคุณตา คือ ขัยรถยนต์รับส่งนักเรียนในหมู่บ้านมาอำเภอ
..............
เพื่อนผมที่กรุงเทพฯ รับราชการ...รู้สึกว่า ตนเองถูกทอดทิ้ง เพราะไม่เคยได้รับถุงยังชีพน้ำท่วม เหมือนเพื่อนบ้านท่านอื่น ๆ
..............
คงเกี่ยวบ้าง..ไม่เกี่ยวบ้าง...แต่หาเรื่องมาเล่าให้อาจารย์หมอฟัง
ก็ยังดีนะครับ
ท่านอาจารย์ ป. ครับชัดเจนที่สุด องค์ความรู้นี่เสริมความเชื่อตามกรอบแนวคิดของผมให้ดียิ่งขึ้น ขอบพระคุณมากนะครับ
เรื่องเล่าของคุณหมออดิเรก มีคุณค่าต่อบันทึกนี้มากค่ะ
ช่วยให้เห็นภาพเป็นรูปธรรม
ของ
"ความฉลาด ที่มีทั้งด้านบวกและลบ"
ขออนุญาต สะท้อนจากเรื่องดังนี้ค่ะ
เรื่องแรก ขอตั้งชื่อว่า "จ้างให้มารักษา"... สะท้อนถึงดาบสองคมการใช้เงินเป็นแรงจูงใจ เพื่อให้เข้าร่วมกิจกรรมดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่นๆ
เรื่องที่สอง ขอตั้งชื่อว่า "จ้างก็ไม่พิการ"..อาจเพราะเงินอุดหนุนความพิการน้อยจนไม่พอสำหรับการยังชีวิต โดยปราศจากการทำอาชีพก็เป็นได้
เรื่องที่สาม ไม่รู้จะตั้งชื่อว่าอย่างไร แต่ได้ข้อคิดลึกๆ เลยค่ะ
ยินดีที่ได้เติบโตทางความคิด จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับอาจารย์และท่านอื่นๆ ในนี้เสมอค่ะ :-)
เห็นการไล่ตามหลักการที่ดีเยี่ยม หากเราสามารถทำได้ก็จะเป็นดั่ง ดร.และเสธฯ ทั้งหลายเลยล่ะ ชอบจังมันเป็นเรียงลำดับกันดีครับ ต้องนำมาใช้จะเกิดประสิทธิผลที่ดีเยี่ยมครับ
ขอยกตัวอย่าง เรื่องการทำงานที่มีความหมาย "purpose" : ในการสำรวจแพทย์อายุรกรรมประจำ Mayo clinic จำนวน 465 คน พบว่าแพทย์ที่ทำงานซึ่งตนเห็นว่า"มีความหมาย" น้อยกว่า 20% ของชั่วโมงงาน หรือ 1 ใน 5 วันทำงาน จะพบภาวะเหนื่อยล้าหมดแรง (Burnout) มากขึ้นสองเท่า...
งานที่แพทย์ในการศึกษานี้ เห็นว่า "มีความหมาย" ได้แก่
1. 68% ตอบ การดูแลผู้ป่วย
2. 19% ตอบ การทำวิจัย
3. 9% ตอบ การเรียนการสอน
4. 3% ตอบ การบริหาร
ที่มา Shanafelt et al. Arch Intern Med. 2009;169(10):990-995
สวัสดีวันรัฐธรรมนูญค่ะคุณเพชร
หลักการนี้เกิดจากการสังเกตซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่ในยุคสี่สิบกว่าปีก่อนเป็นสังคมอุตสาหกรรม
คนจึงไม่ใส่ใจนัก เพราะแรงจูงใจระดับสอง ยังใช้การได้ดีอยู่
ทว่าปัจจุบัน หากอยากเป็น ดร. หรือ เสธ. ก็น่าลองค้นหาแรงจูงใจระดับสามนะคะ