หลาย ๆ ครั้ง อาตมาเขียนข้อความมาโดยนำมาจากประสบการณ์ตนเอง ด้วยข้อความที่ว่า
" ผิดพลาดครั้งเดียว คาใจทั้งชีวิต ฝืนยิ้มสู้หน้าแต่ใจก็รู้ว่า เข้าหน้าใครไม่ติด ใครไหนไม่รู้ เราสิรู้ และเห็นลีลาความคิด "
และอีกประโยคต่อมาว่า...
" เมื่อชีวิตเกิดการผิดพลาด ถึงเห็นคุณค่าของความบริสุทธฺ์ที่เคยมี แต่ก็มีบางคนที่ยังคงปล่อยกาย.. ปล่อยใจ..ปล่อยตัว..หลงถลำตนไปเรื่อย ๆ แล้วหลงฉลาดคิดว่า..ตนสามารถลวงพรางคนอื่น และ
อาจถึงขั้นล่อคนอื่นให้เขาพลาดด้วย เพื่อร่วมปกปิดอำพราง..ปิดปาก..แบกบาปกรรมที่ตนทำนั้น ๆ ไว้ จนกระทั่งเคยชิน "
ทั้งสองประโยคมีที่มา มาจากตนเองที่กระทำมาแล้วคิดว่าเองฉลาดแต่พอเวลาผ่านเลยไป เราต่างหากที่โง่ที่สุด เจ็บตัวมากที่สุด อย่างเรื่องที่จะเล่าให้ฟังในตอนนี้.
เมื่อครั้งเรียนหนังสืออาตมาเองก็พอจะ มีความสามารถหาเงินใช้เองบ้างแล้วตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยมต้น โดยการเล่นดนตรีไทย และดนตรีสากล เช่น เป่าแตร ฯลฯ ครั้นเรียนต่อ ปวช.ทางด้านเกษตร ก็หาเงินส่งตนเองโดยการรับจ้างตอนต้นไม้ ตอนหมู หรือเพาะกิ่งในลักษณะต่าง ๆ ขาย ไม่ก็ออกส่งเสริมการเกษตร ทำซาลาเปา ก็พอเป็นรายได้ แต่เงินก็จะหมดไปกับเวลาเที่ยว หรือ กินต่างๆ จนไม่พอใช้ วิธีการในบางครั้ง และเป็นครั้งสำคัญที่ต้องจดจำคือ เมื่อต้องโกหกแม่...
หลังจากที่กำหนดวันเวลาเที่ยวกับเพื่อนๆ ก็เกรงว่า เงินที่ใช้จะไม่พอก็เลยหาทางโดยวางแผนที่จะเอาเงินจากโยมแม่ จึงเดินทางจากวิทยาลัยเกษตรกรรมสิงห์บุรี อันเป็นสถานที่เรียนมายังบ้านที่หมู่บ้านทองขาหย่าง ต.องครักษ์ อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี แล้วสร้างเรื่องกับโยมว่า
“แม่…. หนูและกลุ่มเพื่อนทำเลนส์กล้องจุลทรรศน์แตก ครูเขาบอกราคามันแพงมากเขาเอาคนละ ๒,๐๐๐ บาท ส่วนหนูเป็นหัวหน้ากลุ่มต้องจ่ายมากกว่าใครเขา แต่ครูเขาเห็นว่า หนูเป็นเด็กดีมาโดยตลอดก็เลยขอเก็บคนละเท่า ๆ กัน ”
การปั้นหน้าเศร้าเล่าเรื่องเท็จโยมแม่เชื่อสนิทเกินคาดท่านกล่าว ว่า
“ ไม่ได้ ๆ ไอ้หนูไม่ได้หรอกลูก เอ็งต้องเอาไปให้ครูเขาทั้งสี่พันน่ะแหละถูกแล้ว เรื่องนี้สำคัญยิ่งเอ็งเป็นลูกครู เป็นลูกแม่ ต้องรับผิดชอบให้มากกว่าเขา ไม่งั้นเขาจะมาว่าถึงพ่อเอ็งได้ ”
ญาติโยมที่ติดตามอ่านทั้งหลาย ขณะที่อาตมาเขียนและรำลึกมาถึงตรงนี้และเมื่อนึกถึงกรรมของอาตมาหรือการกระทำเรื่องนี้ครั้งนั้นคราใด ก็อดที่จะตำหนิตนเองซะไม่ได้ว่า ช่างกล้าหาญชาญชัยทำไปได้อย่างไรกับแม่ ที่มีแต่รักเรา ห่วงเราถึงขนาดนี้ เมื่อก่อนยังไม่ได้มาบวชแต่ได้สำนึกแล้วนี่ก็แอบร้องไห้กับตนเองก็หลายครั้ง ด้วยเพราะเรื่องนี้เรื่องเดียวที่คาใจด้วยเพราะไม่ได้สารภาพผิดจนแม้วันที่โยมแม่สิ้นลมหายใจและจากลูกทุก ๆ คน ไปแล้ว
" คนเราน่ะนะโยมนะ เผลอผิดพลาดครั้งเดียว คาใจทั้งชีวิต ฝืนยิ้มสู้หน้าแต่ใจก็รู้ว่า เข้าหน้าใครไม่ติด ใครไหนไม่รู้ เราสิรู้ และเห็นลีลาความคิด "
โยมพ่อประจวบ (ครูหยวน) ศรีพรหม โยมแม่อุบล ศรีพรหม (ฤกษ์เกษม)
สาธุ
ในบรรดา คนที่ทำความผิด มีความผผิด มักจะรู้สึกว่า มีคนมาจ้องจับผิดตน หากในความจริงนั้น..ไม่มีใครที่จะมาคอยติดตาม จับผิดใครได้ดอก... หากความผิดของคนผิด นั่นแหละะที่จะคอยติดตาม และจับผิด... ความผิดนั้นเอง