วิวัฒนาการเพื่อวินาศการตอนที่ 4


ธรรมะจากท่านพระพุทธทาส

   

 

เว็บไซต์เพื่อสังคม http://www.nature-dhrama.com

    ถ้าจะให้ธรรมะครองโลก
                             ต้องมีระบบการเมืองแบบธัมมิกสังคมนิยม
                                          ตอนที่ 4

         ขั้นที่15ทีนี่เขาคิดว่าเขาควรจะได้รับความเอร็ดอร่อยสนุกสนานที่สุดในการที่เกิดมานี้ไม่มีอะไรดีกว่าสิ่งนี้แล้ว ไม่มีอะไรดีไปกว่าสิ่งนี้แล้วก็ไม่นึกว่าจะมีอะไรดีอีกก็เลยหยุดไว้แค่นั้นก็ไม่ขวนขวายอะไรที่ดีไปกว่านั้นมนุษย์จึงไม่ได้ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะดีได้ ถึงเราจะไปพูดขึ้น เรื่องนิพพาน เรื่องอะไร ก็ไม่เห็นดี เขาไม่เห็นว่ามันดี ก็เลยติดอยู่เพียงที่กามารมณ์ หรือว่าเรื่องเนื้อหนังหรือบางทีก็อาจจะพูดว่า"อุ๊ยไม่เอาหรอกดีเกินไปฉันเอาดีธรรมดาง่ายๆ"อย่างนี้ถ้าถือเสียอย่างนี้มันก็เป็นมนุษย์ที่ได้สิ่งที่ดีที่สุดไม่ได้ บางทีก็จะพูดกับเขาเหมือนกันแหละ ว่าอยากไปนิพพาน แต่ว่าหลอกทั้งนั้น ไม่จริง ยิ่งพูดว่าดีจนอยู่เหนือดี แล้วเขาก็ยิ่งไม่ต้องการ

           ความหมายอันแท้จริงของนิพพาน มันดีจนอยู่เหนือดี เขาไม่เข้าใจแล้วเขาก็ไม่ต้องการ เมื่อสับสนนักมันก็ไขว้กันไปหมด เอาดีเป็นชั่ว เอาชั่วเป็นดี ก็เลยเอาภาษาชาวบ้านพูดตาม ๆ กันไปนี้แหละเป็นหลัก นี้คือข้อที่ว่ามนุษย์ประหลาดที่สุด ตรงที่ว่าทำไมไม่อยากดีถึงที่สุด อันนี้เองเป็นโอกาสให้กิเลสได้โอกาส วัตถุนิยมได้โอกาส ได้ก่อหวอดก่ออะไรขึ้นมา

          ขั้นที่ 16 ที่นี้จะหันไปพึ่งการศึกษาในโลกนี้ การศึกษาก็ไปเป็นทาสของการเมือง ของวัตถุนิยมไปแล้ว ไม่มีการศึกษาไหนที่จะสอนให้มนุษย์รู้จักสิ่งที่ดีที่สุด แล้วเฮกันไปในทางนั้น เพราะว่าแม้แต่ภิกษุสามเณร ก็ยังลดลงไปเป็นฆราวาสแล้วโดยจิตใจ เรียนอย่างฆราวาส มุ่งผลอย่างฆราวาสทั้งที่เป็นพระเป็นเณรอย่างนี้ นี่การศึกษาในวัดมันก็ล้มละลาย การศึกษานอกวัด ชั้นมัธยม ชั้นมหาวิทยาลัย มันก็อยู่เพียงแค่ว่า แสวงหาหาอาชีพประโยชน์เป็นเงินเป็นทอง ได้เงินมามากแล้วก็หาความสนุกสนานตามธรรมดา อย่างที่คนธรรมดาเขาต้องการกัน แต่ส่วนมากมันเลยนั้นไป คือไปหลงใหลไม่มีขอบเขต จนเงินเดือนไม่พอใช้อยู่ตลอดไป ให้ได้เงินเดือนคนละสองสามหมื่น มันก็ไม่พอใช้อยู่นั้นแหละ เพราะว่าจิตใจมันเป็นอย่างนั้นเสียแล้ว

          นี้เรียกว่าการศึกษาในปัจจุบันนี้ กำลังช่วยไม่ได้ อิทธิพลของวัตถุนิยม ที่เรียกว่าเนื้อหนังนี่กำลังลุกลาม กำลังระบาด เป็นไฟไหม้ป่า ระบาดเป็นไฟไหม้ป่าคือไหม้โลก โลกกำลังลุกไหม้ด้วยไฟอันนี้ ก็เลยไม่ลืมหูลืมตา ก็เลยทำให้โลกอยู่ในสภาพอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น

          แล้วทรัพยากรในแผ่นดินของพระเจ้า หรือของธรรมชาตินี้ก็กำลังหมดไปอย่างรวดเร็วอย่างนี้ ปัญหานานาชนิดก็เกิดขึ้นมาใหม่ กระทั่งโรคภัยไข้เจ็บก็มาในรูปแบบใหม่ นี่เป็นสมัยใหม่กับเขาด้วย ก็ต้องยุ่งกันไปในเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ เพราะมนุษย์ไม่มีศีลธรรม มีความมุ่งหมายในส่วนเกิน

          สรุปความแล้วก็ว่า โลกกำลังไม่มีธรรมะ เป็นเครื่องคุ้มครองโลก ยิ่งขึ้น ๆ ไม่เหมือนแต่ก่อน ฉะนั้นขอให้ "ถอยหลังเข้าคลอง" อย่างที่เคยพูดมาแล้วว่า เดี๋ยวนี้มันปีนคลองมากกันแล้ว ถอยหลังเข้าคลอง ให้เข้าคลอง ทำนองธรรม ทำนองคลองธรรม มิฉะนั้นปัญหาในโลกนี้มันก็จะเกิดมากขึ้น ๆ ดูซิที่มันเห็น ๆ กันอยู่ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นธรรม

         ถ้าจะพูดถึงประเทศไทยเราบ้าง ท่านทั้งหลายก็จะรู้สึกอย่างอาตมาโดยเฉพาะในกรุงเทพ ฯ ในเมืองหลวง กำลังมีปัญหาเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้านั้นคืออะไรบ้าง เรื่องรถประจำทางบ้าง เรื่องข้าวแพงบ้าง เรื่องของแพงบ้าง เรื่องสไตร๊ค์บ้าง นักเรียนตีกันไม่หยุดหย่อนบ้าง อย่างยากจนไปทั่วทุกหัวระแหงอย่างนี้ก็เพระมันทำผิดในระบบศีลธรรม อันเนื่องมาแต่ส่วนเกินพูดได้อย่างไม่กลัวผิด มันขาดธรรมะในระบบของการปกครองในโลกนี้ การศึกษายังไม่ถูกวิธี ทั้งในแง่ของโลก และในแง่ของธรรมะ

         ขั้นที่ 17 นี่ขอให้ช่วยพิจารณาดูให้ดี ว่าระบบการปกครองที่กำลังมีอยู่เดี๋ยวนี้ทั้งโลก มันใช้ไม่ได้ มันไม่เป็นธัมมิกสังคมนิยมอย่างที่พูดมาแล้ว ไม่เห็นแก่ผู้อื่นอย่างถูกต้อง ตามธรรมนองคลองธรรม มันเห็นแต่ตัวกู มันเห็นแต่ของกู เรามีส่วนเกินจากธรรมชาติกันมาแล้ว มาถึงขนาดนี้แล้ว เมื่อก่อนเราอยู่ถ้ำ กินเนื้อดิบได้ ต่อมาต้องปิ้ง ต้องหุง ต่อมาต้องจิ้มน้ำจิ้ม ต่อมาต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ จนเดี๋ยวนี้มากลายเป็นโภชนศิลป์ของคนร่ำรวย ผู้มีเกียรติไปสอนส่วนเกินสุภาพสตรีผู้สูงสุดตั้งสมาคมสอนส่วนเกินเรื่องโภชนศิลป์ ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร นอกจากจะทำให้มันยุ่งมากขึ้น เคหศิลป์ก็เหมือนกัน

        นี่เรียกว่าส่วนเกิน เกินธรรมชาติมาทุกที ตามธรรมชาติมันก็เกินได้ โดยไม่รู้ตัว แต่เดี๋ยวนี้กิเลสมันมาช่วยให้เกินเร็วขึ้น ก็ต้องมีการต่อสู่กัน ในปัญหาเกี่ยวกับส่วนเกิน คือ พวกเผด็จการก็ต่อสู้กับประชาธิปไตย เสรีประชาธิปไตย นายทุนก็ต่อสู้กับประชาธิปไตยคอมมิวนิสต์

        ปัญหานี้ทั้งหมดมาจากกอบโกยส่วนเกินที่ไม่เป็นธรรม พวกตำราคอมมิวนิสต์ทั้งหลายมันก็เขียนไว้ถูกแล้ว ว่าปัญหาทั้งหมดเกิดขึ้นมาจากประโยชน์ที่คนหนึ่งควรจะได้ คนหนึ่งมันกอบโกยเอาไปไม่ทันรู้ แล้วมากเกินไป นี้เรียกว่าเป็นส่วนกิเลส หรือส่วนการเมืองแล้วไม่ใช่ส่วนธรรมชาติแท้ ๆ แม้แต่ส่วนธรรมชาติแท้ ๆ มันก็ยังทำปัญหายุ่งยาก เช่นถ้าเรายังอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ ได้ มันก็ไม่มีปัญหาอะไร พอเราจะอยู่ตึกหลายชั้นขึ้นมา ปัญหามันก็ต้องเกิด แล้วตามทางศีลธรรมจะถือว่า ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ผิดกฎหมาย แต่ในระบบจิตใจ มันก็ปั่นป่วนเป็นธรรมดา

         ขั้นที่ 18 ทีนี้อาตมาก็อยากจะพูดตอนท้ายสักหน่อย ไหน ๆ เวลามันก็เลยมาแล้ว แต่เรื่องมันยังขาด ต้องพูดอีกนิดหนึ่ง ที่ว่าเราจะต่อสู้กันใหม่ เพื่อให้โลกมันมีสันติภาพ โดยระบบที่อาตมาจะเรียกไปทีก่อนว่าธัมมิกสังคมนิยม อันนี้เป็นประชาธิปไตยแน่นอน เพราะต้องทุกคนยอมรับ แต่ประชาธิปไตยที่ไม่ให้โอกาสแก่บุคคลเพียงคนเดียว สามารถกอบโกยส่วนเกิน ถือตามหลักพุทธศาสนา หรือศาสนาคริสเตียน ศาสนาไหนก็ได้

         ทุกคนไม่ต้องเอาให้เกิน ถ้าผลิตขึ้นมาเกิน ต้องช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ห้ามที่จะผลิตให้มาก แต่ถ้าผลิตมากแล้วมันเกินมันต้องช่วยเหลือผู้อื่นขืนเอาไว้ลำพังตัวเองก็เป็นบาป บาปที่นายทุนเขาถูกสาป อย่างที่พระเยซูพูดว่า "จูงอูฐเข้ารูเข็ม ง่ายกว่าจูงนายทุนไปหาพระเจ้า" ข้อความในไบเบิลเขาเขียนอย่างนี้ ฉะนั้นเราก็มีหลักที่ว่าจะทำการเรื่องส่วนเกินกันนี้ให้ถูกกันเสียที เพื่อว่าจะได้ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์

         ตั้งต้นพวกแรกก็ที่เด็ก ๆ ของเรา ลูกเด็ก ๆ ตาดำ ๆ ของเราต้องได้รับการอบรม ให้การศึกษาที่อบรมดวงวิญญาณ ยิ่งกว่าที่จะให้รู้หนังสือ หรืออาชีพ ซึ่งนำไปสู่ความเห็นแก่ตัว เด็ก ๆของเราต้องได้รับการฝึกฝนให้เห็นแก่ผู้อื่น อย่าเอาส่วนเกิน ถ้ามีส่วนเกินเด็ก ๆ ของเราก็ต้องให้เพื่อน ยิ่งกว่านั้นอีก ให้เด็ก ๆ ทุกคนรู้จักเจียดเลือดเนื้อของตัวออกไปช่วยผู้อื่น

         ฉะนั้นให้เด็ก ๆ เขารู้ว่า เรื่องของมนุษย์เรานี้ มันต้องมีทั้งร่างกาย และวิญญาณ ให้ถูกต้องทั้งร่างกาย ทั้งทางวิญญาณ ถ้าเราเห็นแก่ตัว มันก็ได้มาในทางร่างกาย มันก็เสียไปในทางวิญญาณ คือจิตใจมันเสื่อมทราม เราให้เด็ก ๆ ของเรา มีความรู้สึก มองเห็น ยอมรับว่า ที่เราเกิดขึ้นมาในโลกนี้ ไม่ใช่เพื่อเราคนเดียว เราเกิดมาเพื่อทำโลกนี้ให้งดงาม ให้มีความถูกต้อง อยู่ในโลกนี้ให้โลกนี้งดงาม แต่ไม่ใช่มาเป็นผีเสื้อ บินไปบินมา หรือว่าเป็นนกกระจอกลอกแลกอยู่นั้น หรือเป็นลิงทโมนดุร้าย หรือว่าขี้เกียจนอนเหมือนหมู มีโทสะเป็นยักษ์เป็นมาร อย่างนี้ไม่เรียกว่าทำโลกนี้ให้งดงาม นี้เรียกว่าเกิดมาเพื่อทำโลกนี้ให้งดงามก็คือว่าให้ทุกคนอยู่กันอย่างเป็นผาสุก ลูกเด็ก ๆ ได้รับการอบรมอย่างนี้ ไม่เอาส่วนเกิน เจียดส่วนเกินได้ จนถึงหยดสุดท้ายให้เพื่อนกัน

          ขั้นที่ 19 แล้วทีนี้ดูบิดามารดากันบ้าง ขอให้แม่เป็นแม่ ขอให้พ่อเป็นพ่อ เดี๋ยวนี้พ่อกับแม่แย่งกันทำงาน แย่งชิงกันทำงาน จนไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ชาย ใครเป็นผู้หญิง แม่ไปชิงทำงานอย่างพ่อ พ่อไปชิงทำงานอย่างแม่ อย่างนี้มันผิดธรรมชาติ ลูกเด็ก ๆ ก็จะเป็นลิงทโมนหมด ไม่มีใครหล่อเลี้ยงวิญญาณ กล่อมเกลาวิญญาณ ไม่มีใครสนใจที่จะว่าเลี้ยงลูกให้เป็นลูกของพระธรรม ไม่มีใครสนใจที่จะเลี้ยงลูกให้เป็นลูกของพระพุทธเจ้า ปล่อยมันไปตามเรื่อง พ่อแม่ชิงกันไปหาเงินมาก ๆ แล้วเอามาทำอะไรก็ไม่รู้ แล้วลูกมันจะเป็นอะไร ก็ต้องเรียกว่ามันเป็นลิงทโมน ไม่ใช่บุตรของพระเจ้า ไม่ใช่บุตรของพระธรรม พ่อแม่ต้องย้ำอยู่เสมอว่า มันจะต้องเกิดมาอย่างนี้ เพื่อทำโลกนี้ให้งดงาม ไม่เอาส่วนเกิน ถ้ามีส่วนเกินต้องสงเคราะห์ผู้อื่น ผลิตได้มากก็ผลิตเพี่อสงเคราะห์ผู้อื่น

          ขั้นที่ 20 เอ้า, ทีนี้มาที่วัด ที่พระภิกษุสงฆ์ ภิกษุสามเณร ภิกษุสงฆ์สามเณรต้องเป็นผู้นำในทางวิญญาณที่ดี ให้นำในทางโลก ทางการบ้านการเมืองนั้น ไม่ต้องพูดถึง ตามใจ แต่ที่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง หรือกำชับกันก็ว่า ภิกษุสามเณรต้องเป็นผู้นำในทางวิญญาณที่ดี ด้วย คือเป็นปูชนียบุคคล ประพฤติตรงตามหลักของพระพุทธเจ้า ไม่เอาส่วนเกิน อย่างที่ว่ามาหยก ๆ นี้

ทำส่วนเกินให้เกิดได้ แต้ต้องเพื่อคณะสงฆ์ เพื่อส่วนรวม ส่วนตัวไม่ได้ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอาส่วนเกิน แล้วก็เจียดออกได้เหมือนกัน สามารถที่จะเจียดออกได้เหมือนกัน ที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ตามวินัยของพระพุทธเจ้าไม่เอามากกว่านั้น ถ้าเหลือนั้นให้เจียดให้ผู้อื่น ก็ไม่ทำตัวเป็นผู้กอบโกยเสียเองในนามของศาสนา เดี๋ยวนี้ดูภิกษุสามเณรจะเป็นผู้กอบโกยเสียเอง แล้วก็ทำไปในนามของศาสนา

        นี่ถ้าทำอย่างนี้ ก็จะมีระบบที่ว่าคือ ธัมมิกสังคมนิยม เห็นแก่สังคมเป็นใหญ่ ตามวิถีทางของธรรมะ

        ขั้นที่ 21 คำสุดท้ายก็คือ ระบบปกครอง คนนี้ต้องแบ่งวรรณะ แบ่งเป็นวรรณะ แต่ละวรรณะต้องบริสุทธิ์ผุดผ่อง วรรณะนี้เลิกไม่ได้ วรรณะโดยชาติกำเนิดเลิกได้ แต่วรรณะโดยกิจกรรมการงานที่ทำนี้มันเลิกไม่ได้ ถ้าเราทำนา เราต้องเป็นชาวนา ถ้าทำราชการก็ต้องเป็นข้าราชการ ถ้าเป็นผู้ปกครองก็ต้องวรรณะปกครองนี้ วรรณะอย่างนี้มันเลิกไม่ได้ แต่ว่าทุก ๆวรรณะต้องมีความมุ่งหมายตรงกัน ทำตัวเป็นคนของพระเจ้า หรือว่าเป็นคนของพระธรรมเหมือนกัน แบ่งหน้าที่กันทำ แต่แล้วเพื่อผลอย่างเดียวกัน

        ในที่สุดอยากจะยืนยันว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระศาสดาของศาสนาไหน ๆ ก็ดี มีเจตนารมณ์ ในคำสั่งสอนมนุษย์นี้ให้เป็นผู้มีลัทธิธัมมิกสังคมนิยม เห็นแก่สังคมอย่างถูกต้อง ตามธรรมนองคลองธรรม

        ใครรับประกันได้ว่า ถ้าคอมมิวนิสต์ร่ำรวยขึ้นมาแล้ว จะไม่กลายเป็นนายทุนอีก เพราะนายทุนเกิดขึ้น คอมมิวนิสต์จึงเกิดขึ้นเมื่อคอมมิวนิสต์ต่อสู้ชนะแล้วใครจะรับรองได้ว่าคอมมิวนิสต์จะไม่กลายเป็นนายทุนอีก ฉะนั้นเราจึงถือว่า ระบบการเมืองในโลกเวลานี้ทุกระบบเป็นผู้กอบโกยส่วนเกิน

        นี่อาตมาเห็นว่าเป็นเรื่องหนึ่ง ที่เราพุทธบริษัททั้งหลาย จะต้องเอาไปคิดไปนึก ไม่ใช่ว่าจะเป็นนักการเมือง ไม่ใช่ว่าจะเป็นผู้ต่อสู้ทางการเมืองอะไร ก็หามิได้ แต่ฐานะที่เป็นมนุษย์ ที่มีสติปัญญาอย่างพระพุทธบริษัทนี้ก็มีส่วนที่จะช่วยกันทำโลกนี้ให้มีสันติภาพบ้าง จึงเอามาพูด ก็หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้เอาไปคิดไปนึกดู แล้วช่วยกันจดจำคำสั้น ๆ เพียงสองสามคำว่า ไม่กอบโกยส่วนเกิน ถ้าเผอิญผลิตอะไรขึ้นมาได้มากเป็นส่วนเกินก็จงสงเคราะห์ผู้อื่น

          ขั้นที่ 22 สุดท้ายที่สำคัญที่สุด ก็สามารถเจียดเอาส่วนที่ใคร ๆไม่เห็นเป็นส่วนเกินนั่นแหละออกเป็นส่วนเกินมาให้ได้ แม้ว่าเราจะมีรายได้วันหนึ่งสิบสตางค์ เราก็ต้องเจียดออกมาหนึ่งสตางค์ให้เป็นส่วนเกินที่จะช่วยผู้อื่นให้จนได้ นี่ตามหลักของศาสนาทุก ๆ ศาสนาย่อมเป็นอย่างนี้ แล้วระบบนี้ก็เรียกว่า ระบบที่เห็นแก่สังคมอย่างถูกต้อง ตามธรรมนองคลองธรรม จะเป็นเครื่องมือวิเศษ ขจัดหรือป้องกันลัทธิการเมืองทั้งหลาย ที่จะทำให้โลกลุกเป็นไฟเสียได้ ฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ หวังว่าท่านทั้งหลายจะเอาไปคิดดู

          ถ้าเรามีลัทธิธัมมิกสังคมนิยมอย่างนี้แล้ว ก็จะมีลักษณะเป็นความคุ้มครอง เป็นสวัสดิมงคล ต่อต้านลัทธิอันไม่พึงปรารถนาได้ทุก ๆ ลัทธิระบุให้ชัดว่า ลัทธิธัมมิกสังคมนิยมนี้ จะต่อต้านลัทธินายทุน เพราะนายทุนตรงข้ามกัน มันกอบโกย แล้วลัทธิธัมมิกสังคมนิยมนี้ ก็ยังต่อต้านลัทธิชนกรรมาชีพ หรือกรรมกร เพราะกรรมกรก็เป็นผู้ต่อสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน ครั้นได้มามากเกินต้องการแล้ว ไม่มีใครรับประกันได้ว่า กรรมมากรนั้นจะไม่กลับเป็นนายทุนไปเสียเองอย่างนี้ ฉะนั้นจึงเป็นการต่อต้าน ไม่มีการทารุณโหดร้าย หรือการยื้อแย่ง

          ลัทธิธัมมิกสังคมนิยม เห็นแก่เพื่อนสัตว์ทั้งหลาย อย่างประกอบด้วยธรรมนี้ มันไม่ทำให้คนใดคนหนึ่งเห็นแก่ประโยชน์ตน อ้างความถูกต้องความเป็นธรรม แล้วกอบโกยประโยชน์เพื่อตน แล้วเมื่อเห็นแก่สังคมนิยมมันก็เผด็จการไปไม่ได้ กระทั่งว่า มันไม่มีทางที่จะเกิดสัทธิอันโหดร้าย ที่เรียกกันว่าทุรราช หรืออะไรแล้วแต่จะเรียก

          ฉะนั้นถ้าเรามีลัทธิธัมิกนิยมเป็นหลักปกครองแล้ว แม้ประเทศเล็ก ๆ นี้ ก็จะมีการคุ้มครองจากธรรมะ ไม่ให้ไฟป่าเข้ามาไหม้บ้าน เพราะว่าเรามีไฟบ้านที่ดี อย่างที่คนโบราณเขาว่า "จุดไฟบ้านเพื่อรับไฟป่า" ถ้าจุดไฟรอบบ้านเรา ให้ถูกวิธีเสียก่อน แล้ว ไฟไหม้ป่าจะไหม้มาอย่างไร ก็ไม่สามารถจะไหม้บ้านเรา ให้เป็นอันตรายได้

          ถ้าเรามีลัทธิที่ประกอบไปด้วยธรรมะ เช่น สัทธิธัมมิกสังคมนิยมเป็นต้นแล้ว จะป้องกันลัทธิการเมือง ชนิดที่เป็นไฟไหม้ป่า หรือเป็นไฟไหม้โลก คือกอบโกย เบียดเบียน ต่อสู้กันทั้งโลกนี้ได้เป็นแน่นอน ฉะนั้นจึงเป็นอันว่า เราควรจะดูให้ดี ถึงประโยชน์ หรืออานิสงส์ของลัทธินี้ ที่เห็นแก่ธรรม ละเห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวม ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดโลกพระศรีอาริย์ขึ้นมาโดยง่าย


หมายเลขบันทึก: 469013เขียนเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2011 12:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 22:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท