เสกสร้าง


เสกสร้างและทรุดโทรม พึงหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านกันไปอย่างนี้

 

 

 

 

 

"เพื่อนทุกข์"


บทที่  ๖

เสกสร้าง

          อิฐก้อนเล็กๆ ไร้คุณค่ามาประกอบกันเป็นมหารัตนเจดีย์อันควรแก่การสักการะบูชา หรือเศษซากโลหะใต้พิภพที่นำมาหลอมรวมและสร้างพุทธปฏิมาอันส่องประกายไปทั้ง 6 ชั้นฟ้า ย่อมเป็นพยานถึงความสามารถของมนุษย์ที่ต่างจากหมู่สัตว์ร่วมชะตากรรมอื่น นั่นก็คือความสามารถในการ “เสกสร้าง”  สิ่งที่แม้แต่เราเองก็ยากที่จะเชื่อได้ว่าสร้างขึ้นมาได้

          การเสกสร้างขอมนุษย์อาจเป็นพรอันสูงสุด ดูเป็นสิ่งประเสริฐเพราะแสดงให้เห็นความก้าวหน้าทางสติปัญญา   โดยได้รับการขนานนามอย่างใหม่  เป็นวัฒนธรรมบ้าง เป็นอารยธรรมบ้าง เป็นความเจริญหรือเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่เราบ้าง  เราจึงชินกับวัฒนธรรม อารยธรรม และอาจเห็นไปว่า ผู้อื่นหรือพวกเขาอื่นที่ไม่มีวัฒนธรรมอย่างเรา ย่อมไร้ซึ่งความเจริญเป็นธรรมดา  เช่นนี้  เราได้ตัดสินคุณค่าของผู้อื่นจากสิ่งที่เราสร้างขึ้น จาก “เกณฑ์ที่คนกลุ่มหนึ่งสร้างขึ้น”  เราทุกคนจึงต่างกันไปหมด    มีคนที่เจริญกับคนที่ไร้ความเจริญ มีทั้งคนที่มีความรู้กับคนที่ไม่รู้  คู่กันไปอย่างนี้ เหมือนที่โลกมีทั้งกลางวันและกลางคืน  แต่สิ่งที่ต่างกันคือ ธรรมชาติไม่ใช่ประดิษฐกรรมแปลกปลอมหรือกฎเกณฑ์ที่เราสร้างขึ้น กลางวันและกลางคืนของโลกจึงคงวาระเดิมอย่างนั้น เป็นเช่นนั้น ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนอย่างนั้นมาชั่วกาล  ซึ่งต่างจากการเสกสรรค์ของมนุษย์ ที่ในที่สุดแล้วย่อมเสื่อมสลายไป 

          เมื่อพิจารณาว่า เราเสกสร้างอะไรขึ้นมาบ้าง ก็เห็นเป็นที่อัศจรรย์ใจว่า มนุษย์อย่างเรานี้ สร้างได้ทุกอย่าง ตั้งแต่สิ่งที่เล็กที่สุด กระทั่งสิ่งที่ใหญ่ที่สุด  สร้างสิ่งที่ไร้ค่าที่สุด ไปถึงสิ่งที่มีค่ามากที่สุด สร้างสิ่งที่เก่าที่สุด ไปกระทั่งถึงสิ่งที่ใหม่ทันสมัยที่สุด  สร้างสิ่งที่สร้างง่ายที่สุด ไปถึงสิ่งที่สร้างยากที่สุด เมื่อพิจารณาอีกครั้งอย่างสายตาของเด็ก  โลกนี้จึงละลานตาและน่าตื่นเต้นเป็นที่สุด  ด้วยเพราะโลกเต็มไปด้วยผลงานการเสกสร้าง  แล้วก็จริงเสียด้วยว่า  เราผู้ประพฤติตนเหมือนเด็ก  มักจะนิยมกับสิ่งที่เสกสร้างมาแล้วได้ชื่อว่าเป็นสิ่งที่ใหญ่ที่สุด ควรค่าที่สุด ทันสมัยที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยที่เรามิทันที่จะพิจารณาว่า  เมื่อกาลผันเปลี่ยนไป สิ่งนั้นก็เสื่อมลง ลดมูลค่าลง  ล้าหลังขึ้นและไร้ค่าในที่สุด เช่นนี้  สิ่งที่เราเสกสร้างจึงเป็นสิ่งที่ขึ้นกับกาลเวลาหรือหามิใช่   

          สิ่งใดเล่าที่ชนะกาลเวลาได้ สิ่งใดเล่าจะไม่ขึ้นอยู่กับกาล อันเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันนี้  แท้ที่จริงก็ไม่ต่างจากพญามัจจุราชผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์   ที่ทรงเพลิดเพลินพระราชหฤทัยในการกลืนกินทุกชีวิตและทุกสิ่งที่เราเสกสร้างขึ้นให้เสื่อมสลายไป  ความเสกสร้างจึงมีค่าแค่เพียงเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจเทียบว่าเป็นเวลาเพียงพญามัจจุราชหยุดพัก แต่แล้วก็จะทรงพระราชทานความยุติธรรมด้วยการเริ่มกลืนสรรพสิ่งให้สิ้นไปอีกวาระ ซึ่งก็ถือเป็นธรรมดาของพระองค์เช่นนั้น  เรานี้ต่างหากที่เป็นผู้ทุกข์ใจ  ที่เร่าร้อนและไม่อาจจะยอมรับความจริงว่า  สิ่งที่เราเสกสร้างขึ้นต้องมาเสื่อมลง ต้องมาหายไป เราทนไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าเมื่อใดเราจะได้เสกสร้างทรัพย์สิน หรือความเป็นตัวเราเช่นนี้อย่างนี้ขึ้นอีก เราจึงเป็นผู้ครองไว้ซึ่งผ้าห่มแห่งความทุกข์อยู่เสมอ  เหตุเพราะเราต้องการจะพันธนาการสิ่งที่เราสร้างขึ้นกับเวลา และเราก็กลัวแสนกลัวว่า  ความเสื่อมที่กำลังจะมาเยือนจะทำลายพันธนาการนั้นเสีย  

          ความเสกสร้างในที่นี้จำกัดอยู่แต่เฉพาะวัตถุหรือก็หาไม่  แต่ย่อมรวมถึง ความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ขนบธรรมเนียมหรือกรอบต่างๆ ที่เราสร้างขึ้น  เห็นได้จากการที่เราสร้างความเชื่อว่า เป้าหมายของชีวิตคือความร่ำรวย ความสำเร็จของชีวิตคือเรียนจบปริญญาสูงๆ ความสุขของชีวิตคือการหาคู่ครองที่จะอยู่กินกันไปจนแก่เฒ่า ความคิดเช่นนี้ ก็ดูเหมือนว่าจะเสื่อมไปตามการ โลกและธรรมได้พิสูจน์แล้วว่า ความร่ำรวยหาได้เป็นประตูสู่ความสุขสันติ  ปริญญามิอาจเป็นบัตรแสดงระดับปัญญาในการใคร่ครวญโลก  คู่ครองหรือความรักเช่นที่นิยมกัน ก็มิใช่ความแช่มชื่นฉ่ำเย็นที่แท้จริง ทุกสิ่งจึงเป็นสมมติที่เราสร้างขึ้น ถือว่าเป็นความว่างอย่างแท้ๆ ไม่มีเทียม ไม่มีสอง เพราะในบรรดาที่กล่าวมาทั้งหมดนี้  หาได้มีอะไรไหนใดที่ยั่งยืนหรือสัมผัสได้  เพียงแต่กาลเวลามาเยือนและเคลื่อนผ่านเพียงเบาๆ  สิ่งที่เสกสร้างก็พลันสลาย คล้ายรอยเท้าบนผืนทรายที่ถูกคลื่นซัดสาดฉะนั้น 

          สิ่งที่เราสร้างเป็นสิ่งที่นำความเจริญและสบายมาสู่เรา แต่เรากลับลืมคิดไปว่า สิ่งที่เราสร้างได้ก็ทำลายลงได้ สิ่งที่เราคิดว่านำความเจริญมาสู่เราได้ ก็นำหายนะมาสู่เราได้  ไม่ว่าจะเป็นระบบใด  ความเชื่อแบบใด หากเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นแล้ว ย่อมหาความมั่นคงยั่งยืนได้ยาก  เพราะเกิดขึ้นจากมนุษย์ผู้มีความเปลี่ยนแปลงเป็นพื้นฐาน ดูเอาเถิด ประเทศที่เป็นเสรีประชาธิปไตย กลับมีความแตกต่างระหว่างชนชั้นของคนอย่างไม่น่าเชื่อ  ประเทศที่ประกาศตนว่าเป็นศูนย์กลางทางศาสนา กลับมีการฆ่าและการทำลายล้างชีวิต  หรือประเทศที่เจริญในด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ มนุษย์กลับกระทำกับมนุษย์ด้วยกันโดยใช้แต่ตัณหาอารมณ์ ปราศจากหลักการของเหตุผลโดยสิ้นเชิง  เราจึงต้องตั้งคำถามอีกครั้งว่า  เราจะหาสุขจากสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างไร

           คำตอบง่ายๆ  ก็คือ ก็จงหาสุขบนความเปลี่ยนแปลงนั้น แล้วจะเห็นสุขในทุกข์เช่นนี้ได้อย่างไร  หลักการที่สำคัญก็คือ  เมื่อเห็นแล้วว่า เรา เขา ท่าน เธอ สิ่งนั้น มันนี้ ระบบนั้น  ความเชื่อนี้ ฯลฯ เปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา ไม่ตั้งอยู่ตลอด ย่อมเปลี่ยน ย่อมเสื่อมสภาพ คลายความเป็นตัวตนลง เช่นนี้ ความยึดติดในสิ่งที่เราเสกสร้างก็จะผ่อนลงด้วย เราจะพบความรู้สึกอย่างใหม่ ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา เป็นสิ่งที่เราต้องพบสักวันหนึ่งข้างหน้า เช่นนี้ เราจะไม่แสวงหาสุขจากสิ่งต่างๆ  อย่างฉาบฉวย  แต่เราจะมีความประณีตที่จะเข้าใจว่า สิ่งที่เสกสร้างย่อมตามมาด้วยความทรุดโทรมไม่วันใดก็วันหนึ่ง ถ้าคิดเช่นนี้ เราจะไม่หาสิ่งที่แพงที่สุดมาไว้กับตัว เพราะวันหนึ่งมันก็จะไร้ค่า  เราจะไม่หาสิ่งที่ทันสมัยที่สุดมาไว้กับตัว เพราะวันหนึ่งมันก็จะล้าสมัยพ้นยุค และเราจะไม่ตื่นเต้นหวั่นไหวไปกับผลงานการเสกสร้าง แต่จะเข้าใจและตระหนักในใจว่า สิ่งนี้ที่จริงแล้ว  อยู่ให้เราได้ตื่นเต้นหวั่นไหวเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น    

          อาจมีคำถามว่า ในท้ายที่สุดแล้ว หากเราดำเนินชีวิตเช่นนี้ เราก็อาจจะไม่เสกสร้างอะไรได้ใหม่  ไม่ประดิษฐ์คิดค้นความเจริญก้าวหน้าให้แก่มนุษยชาติ  และทำให้อารยธรรมสิ้นสุดลง  คำถามนี้ไม่มีคำตอบ แต่สิ่งที่ให้ย้อนกลับไปพิจารณาคือ มีอารยธรรมอะไรบ้างที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน และประกันได้ว่าจะยังคงมีอยู่ในอนาคต  ในที่นี้มิได้หมายถึงแต่เฉพาะวัตถุ แต่หมายถึงระบบความคิด อันเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนสายพานแห่งอารยธรรมนั้นด้วย  ดังเช่นภาพเขียนของศิลปินผู้โด่งดังในอดีต ที่เมื่อถามคนรุ่นปัจจุบัน     จะมีสักกี่คนที่เห็นว่าสวย ว่างาม ว่าเป็นของที่สร้างได้ยากยิ่ง ทั้งนี้ก็เพราะความเชื่อเกี่ยวกับความงามและค่านิยมเกี่ยวกับศิลปะได้หายไปเสียแล้วจากมนุษย์ในเทคโนอารยยุค 

          การสร้างมิใช่สิ่งผิด แต่ให้คิดเสมอว่าวันหนึ่งสิ่งที่เราสร้างขึ้นนี้ ย่อมเสื่อมไป ย่อมแทนที่ด้วยสิ่งอื่นที่สร้างขึ้นใหม่ ดังนั้น มิได้หมายความว่าจงอย่าเสกสร้าง แต่หมายความว่า เมื่อได้เสกสร้างด้วยมือของตน หรือได้เป็นเจ้าของสิ่งที่เขาอื่นได้เสกสร้าง จงรู้และเข้าใจอย่างยุติธรรมว่า  สิ่งนั้นพลันเปลี่ยนแปลง พลันสลายไปในที่สุด  จงคลายความถือมั่นของตนนั้นเสีย และจงคลายความเป็นตนที่เสกสรรปั้นแต่งขึ้นนี้ เหลือไว้แต่ความเป็นเพื่อนของทุกข์ ที่รู้ทุกข์ รู้ตื่นและรู้เบิกบาน

___________________________________

หมายเลขบันทึก: 468968เขียนเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2011 01:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 มิถุนายน 2012 21:14 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท