โรงเรียนพ่อแม่เด็กปฐมวัย
*นายเทอดศักดิ์ จันเสวี
การปฏิรูปการศึกษา มีจุดเน้นสำคัญให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งครอบครัว ชุมชน องค์กรต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาและการปฏิรูปการศึกษา ในขณะเดียวกันก็ให้สถานศึกษา ผู้บริหาร ครู และบุคลากรการศึกษาเข้าไปมีส่วนร่วมและมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้ความรู้ คำปรึกษาเกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดูเด็กอย่างเหมาะสมแก่ผู้ปกครอง ตลอดจนมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและท้องถิ่น ซึ่งการเข้าไปมีส่วนร่วมดำเนินงานของทั้งฝ่ายโรงเรียนและครอบครัว ชุมชนดังกล่าว ย่อมจะส่งผลต่อการสร้างความผูกพันความสัมพันธ์ และการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ดังนั้น ครูซึ่งนับได้ว่าเป็นบุคลากรทางการศึกษาที่ใกล้ชิดกับพ่อแม่ผู้ปกครองมากที่สุดจึงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและกระตุ้นให้ครอบครัว และชุมชนมีส่วนร่วมจัดการศึกษา รวมทั้งให้โรงเรียน ครูและบุคลากรของโรงเรียนเข้าไปมีส่วนร่วมในการให้การศึกษา และพัฒนาชุมชนและท้องถิ่น ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวให้บรรลุผลผู้บริหารและครูผู้ที่เกี่ยวข้องควรมีการศึกษาและมีความสามารถในการวิเคราะห์สภาพบริบทชุมชน รวมทั้งกำหนดแนวทางแสวงหาความร่วมมือจากครอบครัวและชุมชนให้เข้ามาร่วมจัดและบริหารการศึกษากับทางโรงเรียนนอกจากนี้ ก็เพื่อให้โรงเรียนเข้าไปมีส่วนร่วมพัฒนาครอบครัวด้านการอบรมเลี้ยงดูเด็ก และการบริหารพัฒนาชุมชนและท้องถิ่น อันเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับหลักในการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2551
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้ให้ความสำคัญต่อการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ดังจะเห็นได้จากบทบัญญัติในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติหลายหมวดหลายมาตรา เช่นในหมวดหลักการสิทธิและหน้าที่ทางการศึกษาได้กล่าวถึงเจตนารมณ์ที่จะให้สังคม ชุมชน และท้องถิ่น ได้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา (มาตรา 8 (2)) นอกจากนี้ยังให้มีการกระจายอำนาจไปสู่เขตพื้นที่การศึกษาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (มาตรา 9 (2)) ให้มีการระดมทรัพยากรจากแหล่งต่างๆ มาใช้ในการจัดการศึกษา ในมาตรา 9 (5) ให้บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่นได้มีสิทธิในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน (มาตรา 12) เป็นต้น
หมวดแนวการจัดการศึกษา กำหนดให้สถานศึกษาประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา ผู้ปกครองและชุมชนร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ (มาตรา 24) ให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานจัดทำสาระของหลักสูตรที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาในชุมชนสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะที่พึงประสงค์เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน และท้องถิ่น (มาตรา 27) นอกจากนี้สถานศึกษายังมีหน้าที่ในการส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน โดยจัดกระบวนการเรียนรู้ภายในชุมชนเพื่อให้ชุมชนมีการจัดการศึกษาอบรม มีการ
แสวงหาความรู้ ข้อมูล ข่าวสารเพื่อพัฒนาชุมชนและแลกเปลี่ยนประสบการณ์การพัฒนาระหว่างชุมชน (มาตรา 29) ส่วนหมวดการบริหารและการจัดการศึกษา ได้กำหนดให้มีองค์คณะบุคคลในการบริหารและจัดการศึกษาในระดับต่างๆ ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับชาติ ระดับเขตพื้นที่การศึกษา และระดับสถานศึกษา โดยให้มีตัวแทนองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรวิชาชีพอยู่ในองค์คณะบุคคลนั้น (มาตรา 32-35,38,40 ) นอกจากนี้ชุมชนและท้องถิ่นยังมีบทบาทให้ข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนที่พิจารณาเห็นว่า เกี่ยวข้องกับภารกิจของสถานศึกษาตามคำร้องขอของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาที่ทำการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษานั้น (มาตรา 50)
หมวดครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา กำหนดให้หน่วยงานทางการศึกษาระดมทรัพยากรบุคคลในชุมชน และท้องถิ่นให้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา โดยนำประสบการณ์ ความรอบรู้ ความชำนาญและภูมิปัญญาท้องถิ่นของบุคคลดังกล่าวมาใช้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการศึกษา (มาตรา 57) หมวดทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา กำหนดให้มีการระดมทรัพยากรและการลงทุนด้านงบประมาณ การเงิน และทรัพย์สิน ทั้งจากรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บุคคล ชุมชน ท้องถิ่นมาใช้จัดการศึกษา โดยอาจเป็นผู้จัดหรือมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา บริจาคทรัพย์สินและทรัพยากรอื่นให้แก่สถานศึกษา และมีส่วนร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษาตามความเหมาะสมและความจำเป็น (มาตรา 61)
จะเห็นได้ว่า ประเด็นการมีส่วนร่วมของพ่อแม่ผู้ปกครองที่ปรากฏในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มีหลายลักษณะ และในหลายหมวด อันจะเป็นแนวทางในการปฏิรูปการจัดการศึกษาตามแนวทางใหม่ ที่สำคัญอย่างยิ่งซึ่งจะเป็นพลังในการขับเคลื่อนการปฏิรูปไปสู่เป้าหมายที่พึงปรารถนา ฉะนั้นการสร้างความเข้าใจ แนะนำแนวทางหรือให้ความรู้เกี่ยวกับแนวทางจัดการศึกษาตลอดจนบทบาทหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครองในการมีส่วนร่มจัดการศึกษาจึงเป็นสิ่งที่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายควรตระหนักให้ความสำคัญ เพื่อยกระดับพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาต่อไป
ทำไมต้องมีโรงเรียนพ่อแม่เด็กปฐมวัย
เด็กวัย 0-5 ปี หรือวัยปฐมวัยอยู่ในระยะสำคัญของชีวิต เป็นวัยรากฐานของการพัฒนาความเจริญเติบโต ทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา โดยเฉพาะด้านสมอง ซึ่งเติบโตถึงร้อยละ 80 ของผู้ใหญ่ เป็นวัยที่มีความสำคัญเหมาะสมที่สุด ในการปูพื้นฐานเพื่อยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิต นอกเหนือจากการอยู่รอดปลอดภัย โดยเฉพาะ 2 ปีแรกของชีวิตซึ่งเป็นระยะที่ร่างกายและสมองมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องได้รับการเลี้ยงดูที่ดีที่สุดทั้งด้านร่างกายและสมอง เพื่อส่งเสริมพัฒนาการรอบด้าน รวมทั้งการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาได้เต็มศักยภาพ หากเด็กในวัยนี้ได้รับการดูแลให้เกิดการพัฒนาทางด้านจิตใจ ความคิด และสติปัญญาอย่างถูกต้อง โดยมีครอบครัว พ่อแม่ผู้ปกครองเป็นหลักเหมาะสมกับวัยแล้ว เด็กจะเติบโตมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคม และประเทศชาติต่อไป
ความหมายของโรงเรียนพ่อแม่
โรงเรียนพ่อแม่ หมายถึง บริการที่จัดขึ้นสำหรับการให้ความรู้ แนะแนวพ่อแม่ผู้ปกครองเกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดู ตลอดจนการจัดการศึกษาสำหรับเด็กวัยปฐมวัย ดำเนินการทั้งในและนอกสถานศึกษาปฐมวัย ซึ่งในสถานศึกษาอาจจัดไว้ให้เป็นสัดส่วน อยู่ในอาคารหรือนอกอาคารของสถานศึกษา มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการสอนพ่อแม่ สงบเงียบ ไม่มีบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเดินผ่านไปรบกวนให้ขาดสมาธิ แสงสว่างเพียงพอ มีบรรยากาศการให้ความรู้ที่เป็นกันเอง มีกระบวนการสอนที่ผู้รับอบรมมีส่วนร่วมที่มุ่งเน้นเพื่อให้พ่อแม่มีความรู้ เจตคติ และทักษะในการอบรมเลี้ยงดูเด็ก โดยมีหลักสูตร สื่อ แผนการสอนที่ชัดเจนในทิศทางเดียวกัน นอกสถานศึกษาอาจทำในลักษณะการแจกแผ่นพับเอกสารความรู้ให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้ศึกษาและมีการติดตามผลอย่างเป็นระบบ เพื่อมุ่งหวังให้เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการสมวัยทั้งร่างกายและอารมณ์
จุดมุ่งหมายของโรงเรียนพ่อแม่
โรงเรียนพ่อแม่โดยทั่วไปมีจุดมุ่งหมาย 3 ประการ ดังนี้
2. เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับผู้ปกครองถึงแนวทางในการพัฒนาเด็ก
3. เพื่อประสานความร่วมมือกัน ระหว่างครูและผู้ปกครองในการพัฒนาเด็ก
รูปแบบของโรงเรียนพ่อแม่
โดยทั่วไปโรงเรียนพ่อแม่อาจทำใน 2 รูปแบบ ดังนี้
1. การนำโรงเรียนออกไปหาผู้ปกครอง
หมายถึง การที่โรงเรียนโดยครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้บริหารนำข้อมูล
ข่าวสารเกี่ยวกับโรงเรียนโดยทั่วไป เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน หรือเรื่องอื่นๆ ออกไปให้ผู้ปกครองรับรู้ ให้ผู้ปกครองปฏิบัติตาม ด้วยวิธีการต่างๆ และการออกไปให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ปกครองที่บ้านในเรื่องต่างๆตลอดจนการที่โรงเรียนออกไปร่วมกิจกรรมกับชุมชน ในแต่ละโอกาส
2. การนำผู้ปกครองเข้ามาหาโรงเรียน
หมายถึง การจัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้แก่ผู้ปกครองในโรงเรียนโดยการเชิญวิทยากรหรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องต่างๆมาให้ความรู้หรือให้ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมกับทางโรงเรียนในด้านต่างๆ ตั้งแต่การวางแนวนโยบายของโรงเรียน การจัดการเรียนการสอน การเข้ามาจัดกิจกรรมให้โรงเรียน เข้ามาร่วมมือจัดกิจกรรม เข้ามาร่วมกิจกรรมกับทางโรงเรียน เป็นต้น โดยอาจเข้ามาโดยอาสาสมัคร หรือเข้ามาตามคำเชิญชวนของโรงเรียน
รูปแบบกิจกรรมของโรงเรียนพ่อแม่
รูปแบบกิจกรรมของโรงเรียนพ่อแม่หรือรูปแบบกิจกรรมที่ครูปฐมวัยเพื่อให้ความรู้หรือแนะแนวพ่อแม่ผู้ปกครองเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กปฐมวัยในกิจกรรมโรงเรียนพ่อแม่นั้น มีรูปแบบ ดังนี้
1. การให้ผู้ปกครองรับรู้
เป็นรูปแบบของการให้ผู้ปกครองเพียงแต่รับข่าวสารและข้อมูลจากสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย เพื่อให้ทราบความเป็นไปของเด็กที่มารับบริการ สิ่งสำคัญที่ต้องให้ผู้ปกครองรับรู้ คือ
1.1 สุขภาพเด็ก
1.2 พฤติกรรมของเด็ก
1.3 การเรียนรู้ของเด็ก
1.4 กิจกรรมที่ทางสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยจัดให้เด็ก
2. การให้การศึกษาแก่ผู้ปกครองเป็นงานส่วนหนึ่งที่จำเป็นต้องให้ผู้ปกครองเรียนรู้เพื่อพัฒนาเป็นผู้ปกครองที่มีคุณภาพ สิ่งที่ต้องเรียนรู้ คือ
2.1 หน้าที่ของสถานพัฒนาเด็ก
2.2 บทบาท หน้าที่ของผู้ปกครอง
2.3 การอบรมเลี้ยงดูลูกเพื่อการพัฒนาที่บ้าน
ซึ่งกิจกรรมหรือวิธีการที่จะให้ข้อมูลหรือสารสนเทศเพื่อให้ผู้ปกครองรับรู้ เช่น การเยี่ยมบ้าน การประชุมปรึกษา การส่งรับเอกสารเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน ผลของการมีส่วนร่วมแบบรับรู้จะมีประโยชน์น้อยสำหรับเด็กและครู ทั้งนี้เพราะผู้ปกครองบางคนอาจไม่ใส่ใจต่อข้อมูลหรือสารสนเทศสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่จะให้ ส่วนที่ได้มากคือการประชุมปรึกษาหารือ และการเยี่ยมบ้านโดยเฉพาะการแก้ปัญหาเด็กร่วมกัน
2. การให้ผู้ปกครองร่วมมือ
การให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมกับทางโรงเรียนหรือให้ความร่วมมือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งการศึกษาสมัยเดิมจะเน้นให้ผู้ปกครองร่วมมือในเรื่องการสร้างกองทุน แต่การศึกษายุคปัจจุบันให้ผู้ปกครองมาร่วมมือในหลายด้าน ได้แก่
1. การสอน ผู้ปกครองบางส่วนที่มีความรู้ ความสามารถและพร้อมที่จะมาสอนมาเป็นวิทยากร หรือมาช่วยสอน ดังนั้นทางสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ควรเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองเด็กปฐมวัยเข้ามีส่วนร่วมในด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในบางครั้งที่เหมาะสม
2. การช่วยกิจกรรมของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย เช่น เป็นแม่ครัว เป็นอาสาสมัคร เป็นผู้จัดกิจกรรม เป็นต้น
3. การร่วมวางนโยบาย ผู้ปกครองที่มีความสามารถทางการบริหารและคุ้นเคยกับชุมชน อาจให้เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนและนโยบายในการดำเนินงานและพัฒนาสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย โดยเข้ามาในรูปแบบของคณะกรรมการสถานศึกษา หรือคณะกรรมการอำนวยการโรงเรียน
4. การร่วมพัฒนาของชุมชนในการจัดศึกษา คือ การให้ชุมชนมาร่วมพัฒนาการศึกษาให้อยู่ในกรอบคุณภาพ
3. การเข้าถึงตัวผู้ปกครอง
การให้ผู้ปกครองมาร่วมมือกับกิจกรรมได้เฉพาะบางส่วนเท่านั้น แต่มีผู้ปกครองบางคนไม่สนใจที่จะมาที่สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย โดยเฉพาะคนชุมชนชนบทจะรู้สึกว่าไม่จำเป็น ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีเข้าถึงตัวผู้ปกครองโดยตรง ดังนี้
1. เยี่ยมเด็ก เป็นวิธีการเข้าถึงตัวผู้ปกครองด้วยการไปเยี่ยมเด็กที่บ้าน และพบผู้ปกครองตัวต่อตัวเพื่อสนทนาปรึกษากันเพื่อมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็ก
2. เยี่ยมผู้ปกครอง การเยี่ยมบ้านด้วยเจตนาเยี่ยมตัวผู้ปกครองเป็นการสร้างกัลยาณมิตร ที่ครูกับผู้ปกครองจะคุยกันฉันท์คนรู้จักหรือเพื่อนกันได้ เป็นการสร้างมิตรและสนทนาเรื่องเด็กในประเด็นที่ต้องเรียนรู้ร่วมกัน
3. ครูผู้ปกครองร่วมแก้ปัญหา วิธีการนี้อาจทำด้วยการเชิญผู้ปกครองมาร่วมคิดแก้ปัญหาเป็นรายบุคคล โดยการ ให้คำปรึกษา หรือการประชุมปรึกษาแบบกลุ่มเล็ก
4. ศึกษาสภาพแวดล้อม เป็นการศึกษาข้อมูลชุมชนและบ้านที่เกี่ยวข้องกับเด็กโดยครูไปศึกษา ณ บ้านเด็กได้
4. การจัดกิจกรรมประสานผู้ปกครอง
สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยต้องเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองได้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมซึ่งเรียกว่าเป็นกิจกรรมโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ ดังนี้
1. เปิดสถานพัฒนาเด็กให้ผู้ปกครองเยี่ยมชม (Open House)
2. จัดนิทรรศการเกี่ยวกับกิจกรรมการศึกษาและการดูแลเด็ก
3. จัดฝึกอบรมเพื่อให้ความรู้แก่ผู้ปกครองด้วยการนำเสนอความรู้เองหรือเชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ
4. ตั้งสมาคมครูผู้ปกครอง
5. เผยแพร่ข้อมูลทั้งโดยเอกสาร ข้อมูลข่าวสารในรูปแบบต่างๆ
จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าโรงเรียนพ่อแม่หรือการให้ความรู้หรือการแนะแนวผู้ปกครองเด็กปฐมวัยเกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดู การให้การศึกษาแก่เด็กปฐมวัยเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งที่ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะครูปฐมวัยต้องให้ความสำคัญ เพื่อจะนำไปสู่ความร่วมมือกันในการอบรมเลี้ยงดูและจัดการศึกษาแก่เด็กปฐมวัยอย่างมีประสิทธิภาพ
เอกสารอ้างอิง
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี. (2548).
พระราช บัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไข
เพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545. กรุงเทพฯ: บริษัท พี.เอ็น.เคแอนด์
สกายพริ๊นติ้ง จำกัด.
ไม่มีความเห็น