จุดอ่อนของระบบงานวิจัยในปัจจุบันคือ "การเอาทุนหรืองบประมาณตั้งต้น"
คือ เมื่อจะทำอะไรก็ต้องรอดูว่ามีทุนไหม ได้งบประมาณจากหน่วยงานไหน
ถ้าหากจะให้ความรู้ที่ดีจริง ๆ ต้องเริ่มจาก "ความอยากที่จะเรียนรู้"
ความอยากไม่ใช่ของไม่ดี เพราะความอยากเป็นตัวกระตุ้น ดันหลังคนเราให้ไปถึงจุดหมายปลายทางนั้น
อย่าไปเริ่มต้นที่ "อยากได้เงิน อยากได้ตำแหน่ง" ขอให้เปลี่ยนทัศนคติใหม่ลงไปตรงที่ "อยากเรียนรู้"
คนที่อยากเรียนรู้จริง เป็นคนที่ "เสียสละ"
เสียสละอะไรบ้าง...?
อย่างแรก เสียสละเงินของตนเองนี่แหละที่จะไปเรียนรู้
ถ้านักวิจัยอยากรู้จริง เขาก็จะกล้าควักสตางค์ของตนเติมน้ำมัน จ่ายค่าตั๋วรถเมล์ เพื่อไปเรียน ณ ที่ที่มีความรู้
ไม่มีคำว่าขาดทุนสำหรับคนที่จะเรียนรู้ ทุกบาทที่จ่ายไปได้ความรู้กลับมา "เต็มหัวใจ"
เงิน รถ วัสดุอุปกรณ์ เสียสละ ทุ่มเทลงไปเพื่อ "ให้" โดยที่ไม่หวังอะไรตอบแทน
ในทางกลับกัน หน่วยงานสนับสนุน จึงต้องมีระบบสนับสนุนที่จะ support นักวิจัยที่ลงทุนตัวเองไปก่อนในระยะหนึ่งทั้งในและนอกสังกัด คือ มีระบบการเบิกจ่ายย้อนหลัง เพื่อสนับสนุนนักวิจัยที่ดีโดยที่ไม่ต้องเข้าเนื้อตัวเองตลอด
ไม่ต้องสนับสนุนให้ร่ำให้รวย แต่สนับสนุนให้เพียงพอที่จะไม่ทำให้เขาลำบาก ครอบครัวเขาลำบาก
ระบบจ่ายก่อนจึงทำ ถ้าไม่จ่าย ฉันไม่ทำ...
ระบบในปัจจุบันเป็นการนั่งโต๊ะเขียนโครงร่างเพื่อเสนอของบ เขียนได้ก็ทำ ไม่ได้งบก็หยุดไป ไม่มีใครกล้าลงทุน
นั่งวิจัยตัวจริงเขาลงทุนก่อน เขาไม่มานั่งรองบ ได้ก็ช่าง ไม่ได้ก็ "ช่างหัวมัน" เพราะอย่างไรเขาก็ได้ความรู้
ระบบสนับสนุนงานวิจัยจะต้องเป็นระบบเชิงรุก เห็นใครทำได้ ทำดีในระบบหนึ่งแล้วต้องรีบ "เสนอหน้า" เขาไปให้ทุนเขา อย่ามัวรั้งรอ มี "ทิฏฐิมานะ" รอให้เขามาขอ "เพราะงานของเขาก็เป็นผลงานของเรา"
ถ้าเรามัวแต่นั่งรอคนเขียนโครงร่างมาขอเงิน เราก็ไม่มีโอกาสที่จะเจอนักวิจัยชั้นหนึ่ง นักวิจัยชั้นหนึ่งคือนักวิจัยที่ "เสียสละ" เสียสละเพื่อที่จะได้ความรู้จริง ๆ
เพราะนักวิจัยชั้นหนึ่ง นอกจากจะไม่รอทุนที่ไหนมาเป็นเครื่องกั้นจิตกั้นใจในการหาความรู้
นักวิจัยชั้นหนึ่งยังไม่มีขอบเขตของเวลา ที่เป็นแบบว่า "หมดงบ หมดทุน หมดใจ"
นักวิจัยชั้นหนึ่งใจดี ใจเสียสละ ทำได้ตลอด ไม่มีงบก็ทำได้ ทำไปเรื่อย ไม่มีหยุด ไม่มีเหน็ดเหนื่อย เพราะความสุขของเขาไม่ได้อยู่ที่เงิน "เขาเสพควาสุขจากความรู้"
โครงการวิจัยของนักวิจัยชั้นหนึ่งจึงต้องเป็นโครงการระยะยาว งบน้อย ๆ พออยู่ พอกิน พอเดินทาง แต่ผูกพันธ์กันระยะยาว ทำไปเรื่อย ๆ มีความรู้ใหม่ ๆ ไปเรื่อย ๆ ความรู้แบบนี้จะมั่นคง ต่อเนื่อง และยืนนาน
เพราะเขาเห็นอะไรที่ขาด อยากจะหาอะไรเพิ่มเติมก็ทำไปเรื่อย ไม่มีกรอบมาขีดเส้นว่า ทำเท่านั้นเท่านี้ เพราะความรู้มันไม่มีขอบเขต แต่โครงร่างงานวิจัยที่เสนอขอกันนั้นมีขอบเขต งบประมาณการวิจัยจึงต้องหลวม ๆ แต่เอื้ออำนวยความสะดวกให้นักวิจัยที่ดี แน่นมากก็ไม่ใช่จะรัดกุม คนจะดี งานจะดีอยู่ที่หัวใจ ระเบียบ ข้อบังคับใช้ได้ยากกับคน (ไทย) ในปัจจุบัน
"ความรู้แบบไฟไหม้ฟาง ล้มลุก เตาะแตะ" ปีนี้ใช้ได้ ปีหน้าใช้ไม่ได้แล้ว หวือหวา มาเร็ว ไปเร็ว ไม่มีเคลมนะ จบแล้ว จบกัน
เราต้องสนับสนุนคนดี ให้มีกำลังจิตกำลังใจ ตามย้อนหลังให้เขา ไม่ต้องกลัวว่าจะขาดทุน เพราะการทำแบบนี้เป็น win-win solution ได้ทั้งคู่ เพราะเราก็ได้ผลงานเขามาเชิดหน้าชูตาหน่วยงานของเรา
เราก็มีตังค์เติมน้ำมันไปได้ไกลขึ้น ครอบครัวเขาก็หมดห่วงได้มากขึ้น เขาก็มีกำลังจิตกำลังใจทำงานเพื่อเสียสละได้มากขึ้น
การยกย่องเชิดชูคนดี เป็นหน้าที่ของคนไทยด้วยกันมิใช่หรือ
การยกย่องเชิดชูนักวิจัยที่ดีก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน
นักวิจัยที่ดี นักวิจัยชั้นหนึ่งเขาทำงานวิจัยก่อนได้เงินนะ เพราะเงินเป็นเพียงปัจจัยทางกาย แต่ความรู้นี่สิ เป็นปัจจัยที่ไม่เคยล่มสลายไปจากหัวใจของนักวิจัยที่ดี...
มาเชียร์นักวิจัยชั้นหนึ่งครับ
อยากเป็นบ้าง แต่มักจะรอเงิน อิอิ
เป็นบทความที่มีพลัง "กระตุก" ความคิดมากคะ
เท่าที่เห็นในปัจจุบัน คือ มีทุนมา ประกาศ ให้คนเขียนโครงการเพื่อรับทุน
ซึ่งก็เป็นสิ่งดีสำหรับการสร้างนักวิจัยหน้าใหม่ๆ
แต่คนที่มีใจรักทำงานใดต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่ส่งผลดีต่อสังคม
ก็ควรมีระบบสนับสนุนให้เขาไม่ต้องดิ้นรน ทำงานที่ "distract" เพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
นักวิจัยชั้นหนึ่งเป็นนักวิจัยที่ตั้งใจในการทำความดีมาก ตั้งใจในการเสียสละมาก
นักวิจัยแบบนี้ไม่ง้อของบใคร เป็นนักวิจัยที่มีความสุขในการ "ให้" ความรู้
ผู้มีความสุขในการให้ย่อมไม่ขี้เหนียวความรู้ที่ได้มา ไม่กลัวอด ไม่กลัวหมด
ในทางกลับกัน ผู้ที่ให้มากย่อมได้รับกลับมามาก
การต่อยอดความคิดที่จะหมุนเกลียวขึ้นไปได้ย่อมเกิดขึ้นจากการ "ให้" เป็นมูลเหตุที่สำคัญ
ถ้าหากเราไม่คลายเกลียวออกสักนิด ความรู้ใดเล่าจะแทรกตัวเข้ามาได้
น้ำชาที่เต็มถ้วยอยู่ ถ้าหากไม่รินแจกจ่ายให้ใครบ้าง แล้วน้ำชาหยดใหม่ใดเล่าจะเข้ามาผสมและเติมเต็มได้
นักวิจัยชั้นหนึ่งขอแค่มีเพียงปัจจัย 4 ที่เพียงพอในการดำเนินชีวิต ไม่ต้องรบกวนเงินจากพ่อแม่ มีเงินส่งให้พ่อแม่เพื่อตอบแทนบุญคุณท่านบ้าง หรือไม่ถ้ามีครอบครัว ก็มีเงินให้ลูกให้ผัวแค่นั้นก็เป็นพอ
ครอบครัวของนักวิจัยชั้นหนึ่งก็เป็นกองทุนที่สำคัญ เป็นสามีเป็นภรรยาที่ให้กำลังใจกัน เป็นลูกที่ให้กำลังใจพ่อแม่ในการทำความดี เป็นครอบครัวที่มีความเสียสละเป็นพื้นฐาน
ในมุมมองของหน่วยงานสนับสนุนนั้น ต้องมีสายตาที่กว้างไกล เห็นใครทำได้ ทำดีแล้วต้องรีบสนับสนุน รีบต่อยอด เติมเต็มให้เขา อย่าให้เขาถึงต้องแล่เนื้อเถือหนังตัวเองเพื่อทำงานวิจัย
คนไทยเราใจดี มีน้ำใจให้กันเสมอ บ้านเมืองกำลังต้องการคนใจดีมีน้ำใจที่จะคอยช่วยเหลือกัน
เมตตาธรรมเป็นธรรมที่ค้ำจุนโลก
นักวิจัยและหน่วยงานสนับสนุนงานวิจัยก็เป็นกัลยาณมิตรที่จะค้ำจุนซึ่งกันและกัน
การทำความดีต้องรีบเร่ง เร่งด่วน ทำความดีต้องไม่กลัว ทำความชั่วต่างหากที่ต้องกลัว
การทำความดีต้องใช้ใจ นักวิจัยชั้นหนึ่งเป็นคนที่มีใจดี ใจที่ดีย่อมมีแรงผลักดันที่จะทำความดีและเสียสละตลอดไป...