ข้าพเจ้าเคยไปร้านขายกางเกงยีนส์ยี่ห้อดังกับเพื่อน พบว่า กางเกงยีนส์มีการออกแบบ ให้เหมาะสมสำหรับแต่ละสรีระ
SBAR |
SOAP |
Academic writing |
Situation |
Subjective (symptom) |
Topic statement (what we think) |
Background |
Objective ( physical sign + lab + past history) |
Support data (what we/they found) |
Assesment |
Assesment |
Conclusion ( Therefore..) |
Recomendation |
Plan |
Recomendation (Next step..) |
แล้วคุณละ ทราบหรือไม่ว่า "Mental model" ของตนเองเป็นเช่นไร
ขออนุญาต ตอบแบบมีอารมณ์ว่า ยังหาไม่เจอ ยังสร้างไม่ได้
เพราะมันตกหายไปกับน้ำท่วมแล้วคะ ^__^
...
สื่อสารตรงใจ
เขียนวิจัยตรงจิต
ไม่เขียนเบี้ยวบิด
สื่อสารให้ตรงจิต ... เขียนให้ตรงใจ
...
;)...
สวัสดีครับอาจารย์ปัทมา
อาจารย์จุดประกายผมอีกแล้วครับ...
Mental Model นี่เป็นอะไรที่ต้องเรียนรู้ รู้เท่าทัน
มันคือความยึดติด จากความรู้ ประสบการณ์ มีทั้งแบบเบา กับหนักไปเลย..
สุภาษิตโบราณน่าจะเทียบได้กับคำว่า..
"ทิฐิพระ มานะกษัตริย์" ครับ..
เป็นอะไรที่ผมว่าคนในสังคมควรเรียนรู้ เพื่อ Unlearn และ Relearn ครับ
ผมว่าสุนทรียสทนา (Dialogue) ช่วยได้มากครับ..
สำหรับเรื่องการสื่อสาร..เคยเจอลูกศิษย์เล่าให้ฟัง..
โรงงานขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง..ส่งคนมีเรียน Mini-MBA กับวิทยาลัยของผม...
ถูกให้ต้องทำ case study (วิธีการศึกษาแบบ MBA ที่จะเอาข้อมูล เอาปัญหา.ขององค์กรหนึ่ง ราวๆ 20-30 หน้า แล้วหใ้นักศึกษาจัดทีมกันเอง..แต่ห้ามอยู่แผนกเดียวกัน มาร่วมกันวิเคราะห์ และแก้ปัญหา)
ทำไปหลายๆ case พอจบ ได้ยินเสียงนี้ครับ..
"อาจารย์ หลังมานั่งแก้ปัญหาด้วยกันมาพักหนึ่ง..แต่ก่อนฝ่ายวิศวกรรม จะชอบทะเลาะกับผ่ายขาย เพราะแค่ศัพท์แสงก็คนละคำแล้ว..ความคาดหวังก็คนละแบบ พอมาทำงานร่วมกันเลยเข้าใจกันมากขึ้น...อ้อใใที่เขาพูดอย่างนี้ เพราะรู้สึกอย่างนี้นี่เอง.. ตอนนี้รู้สึกทำงานกันราบรื่นขึ้น..ทะเลาะกันน้อยลง"
ลองหาอะไรทำแบบนี้กันนะครับ.ประมาณว่ามาแก้ปัญหาร่วมกันสักพัก...เดี๋ยวดีขึ้นครับ..
สวัสดีค่ะ
แวะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้นะคะ...ในทางการศึกษา Mental Model เป็นความคิดส่วนย่อยของ 'กรอบแบบแผนความคิด'ในการเชื่อมโยงการคิดเชิงระบบ System Thinking ของคนที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความถูกต้องสมเหตุสมผล ได้มาโดยการใช้ความคิดวิจารณญาณการไตร่ตรองแล้ว จนสามารถนำมาเป็นแนวทางในการประเมินสิ่งต่างๆได้อย่างถูกต้องมองเห็นความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกัน...คนจะมีMental Modelหรือ'กรอบแบบแผนความคิด'ที่แตกต่างกันมากบ้าง น้อยบ้าง เหมือนหรือเกือบเหมือนกัน...ขึ้นอยู่กับพื้นฐานความคิด ความมีวิจารณญาณ และความมีเหตุมีผลในทางที่ถูกที่ควร ของแต่ละคน...
สวัสดีครับ อาจารย์ ป.
ขอร่วมแชร์ด้วยนะครับ อ่านบันทึกของอาจารย์แล้วนึกถึงประสบการณ์ของตัวเองครับ สำหรับส่วนตัวผมคิดว่า Mental model ของผมน่าจะมีวิวัฒนาการ ปรับเปลี่ยนมาตลอด เป็นการปรับเข้าสู่ความสมเหตุสมผลมากขึ้นตามคุณวุฒิ และวัยวุฒิ คือผมมองตัวเองจากการจัดการหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยทำผิดพลาดมาในอดีตนะครับ ก็มีคำถามตัวเองบ่อยนะครับว่า "ทำไปได้อย่างไร" ไม่แน่ใจว่าเป็นอย่างที่ผมเข้าใจหรือเปล่านะครับ
ขอบคุณที่เปิดโอกาสให้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ครับผม
สวัสดีเป็นคนแรกคะ พี่กระติก
ใจที่หล่นหาย..หลังน้ำลด คงได้เก็บกู้ขึ้นมาอีกครั้งนะคะ
การทำแผนผังความคิด โดยเริ่มต้นจาก ประเด็นสำคัญก่อน
แล้วเชื่อมโยง ขยายออกไป เป็นเทคนิคที่ดีคะ
ในหนังสือชื่อ "Accidental genious" ก็แนะนำให้ เขียน สิ่งที่ผุดขึ้นมาในใจ
โดยยังไม่ต้องสนใจ ไวยากรณ์ แล้วค่อยๆ มาเชื่อมโยงคะ
ขอบคุณสำหรับบทกลอนตรงใจ ไม่เบี้ยวบิดคะ อาจารย์
หน้าหนาวแล้ว รักษาสุขภาพ(ใจ) ด้วยนะคะ :-)
ขอบคุณอาจารย์ สำหรับกลอยต้อนรับฤดูหนาวคะ
ขอบคุณ อาจารย์ภิญโญ ที่เติมเต็มบันทึกนี้คะ
"Mental Model นี่เป็นอะไรที่ต้องเรียนรู้ รู้เท่าทัน..มันคือความยึดติด จากความรู้ ประสบการณ์.."
ทำให้คิดไปว่า การถกเถียงที่หาข้อยุติลำบาก ก็ด้วย ใช้ Mental model คนละแบบเป็นเครื่องตัดสิน โดยเฉพาะในช่วงอารมณ์ตึงเครียด ยิ่งมีแนวโน้มยึด model เดิมอย่างเหนียวแน่น..เพราะไม่มีใครอยากถูกตัดสินว่า "incompetence" ดังนั้น การพูดคุยโดยไม่ตัดสิน อย่างสุนทรียสทนา (Dialogue) เห็นด้วยคะว่าช่วยลดภาวะ fixed model ได้
...
เรื่องฝ่ายขายกับฝ่ายวิศวกรรมที่อาจารย์ยกตัวอย่างมา แหม เข้ากับประสบการณ์ตัวเองดีจังคะ
ตอนแรกๆ สื่อสารกับนักเวชสถิติ ลำบาก รู้สึกได้เลยว่า "Mental model" คนละแบบ
นักเวชสถิติ มีแนวโน้มใส่ใจกับ p-value ปัจจัยไหนไม่ถึง statistical significant ก็คือ "ไม่สำคัญ" สำหรับเขา
ขณะที่ ตัวเอง ใส่ใจกับ เหตุปัจจัยที่สำคัญคือตามทฤษฎี และปฎิบัติทางคลินิกมากกว่า
ศัพท์ที่ใช้ ก็ต้องต่างฝ่ายต่างมานั่งอธิบาย
...
ตอนหลังมา แทนจะขึ้นต้นด้วยเรื่องวิจัย หันมาคุยเรื่องการปรับตัวเข้ากับที่ทำงานในต่างแดน (นักเวชสถิติก็เป็นคนต่างชาติ เคยเป็นอาจารย์แล้ว ติดตามภรรยามา) ก็คุยกันอย่างเป็นมิตร แล้วยอมรับซึ่งกันและกันมากขึ้นคะ
สวัสดีครับคุณหมอปัทมา
ในมุมมองของผม เริ่มด้วยเรื่องไม่จริงจัง กลับทำให้เรื่องจริงจังราบรื่นได้ จริงๆครับ..ผมมีประสบการณ์คล้ายๆกันนี้เลยครับ..
ปัจจุบันก่อนผมจะสอน AI ผมชอบสอน และให้ลูกศิษย์ทำ Dialogue
เกิดเรื่องแปลกคือ..ส่วนใหญ่พอเรียนทุกอย่างจบ..ถามว่าชอบอะไรที่สุด..จำนวนมาก และส่วนใหญ่จะชอบ Dilogue มากกว่า AI ครับ..
ผมจะต่อยอดเรื่องนี้ในเรื่อง "ศาสตร์แห่งความไม่จริงจัง" ในตอนต่อไปนะครับ..
ขอบคุณสำหรับข้อคิดเห็น และข้อเขียนดีๆนะครับล
ขอบคุณอาจารย์ที่เสริมนิยามให้ชัดเจนยั่งขึ้นคะ เป็น "กรอบแบบแผนความคิด" ที่เกิดจากการใช้วิจารณญาณ จนสามารถนำมาเป็นแนวทางในการประเมินสิ่งต่างๆได้อย่างถูกต้องมองเห็นความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกัน...เท่่าที่เข้าใจ มีความหมายในเชิงบวก ทำให้การตัดสิน เป็นไปอย่างมีหลักการ หรือ "fair" คะ
ได้มาเรียนรู้เพิ่มเติมมากมายในสิ่งที่ผมไม่รู้
ขอบคุณอาจารย์มากครับ
อากาศเย็นแล้วหรือยังครับ
ที่บ้านผมเริ่มเย็น ๆ ผู้มารับบริการน้อยลงมาก
เพราะต้องเกี่ยวข้าวแล้วครับ
วันเสาร์นี้...เห็นเล่นเด็กเล่นว่าวที่สนามฟุตบอลโรงเรียน
ผมเป็นประเภทคิดได้ทุกเวลาครับ
แม้กระทั่งบางวันยามนอน
ฝันกลางวันครับ
ขอบคุณคะอาจารย์ พูดถึง วิวัฒนาการของ Mental model ของตนเองที่ปรับไปตามอายุ..
สำหรับตัวเอง..มองย้อนกลับไป "ตัดสินใจเลือกเช่นนั้นได้อย่างไร" หากใช้ Mental model หรือแม้แต่ฟังเสียงในใจ ก็บอกว่า การตัดสินใจครั้งนั้นไม่ถูก..บทเรียนที่ได้คือ อย่าเลือกขณะยังมี Noise ดังกว่าเสียงในใจตนเอง..
ขณะเดียวกัน การเลือกนั้นก็อาจไม่ผิด เพราะ ให้ประสบการณ์ หวาน ขม มากมาย
เราต่างย้อนเวลากลับไม่ได้..ก็ขอให้ค้นพบความสุขและท้าทายในปัจจุบันนะคะ
สวัสดีค่ะคุณหมอป.
อ่านบันทึกของคุณหมอบางเวลา แล้วทำให้นึกถึงกัลยาณมิตร เก่าแก่อีกท่านที่เขียนบันทึก สไตล์ล้วงลึก ต่อเนื่อง กระตุกต่อมคิด ได้อย่างลึกซึ้ง เสมอๆ อย่างนี้
mental model ช่วงน้ำหลากอย่างนี้ ขอต้องกลับไปทบทวนอีกแล้ว ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะคุณหมอป.
อาจารย์หมอ ป. คะ
ถามว่า Mental model เป็นแบบไหน
1. ตามพื้นฐานวิชาชีพ
10 ปีที่แล้ว SOAP
5 ปีที่แล้ว SBAR ครอบคลุมและเชื่อมโยงมากกว่า SOAP
Academic writing ไม่ค่อยถนัด
2. เทียบเคียงชีวิตทั่วไป
10 ปีที่แล้ว...ขาว ดำ แยกกันชัด
5 ปีมานี้...เห็นขาวในดำ มีดำในขาว
สีเทาสว่างหรือเทาหม่น...ขึ้นกับพื้นฐานที่มา (บริบท)
สัมพัทธ์กับอะไร ใคร และความเชื่อมโยง
3. นำมาใช้ในการปฏิสัมพันธ์กับคนไข้
ก็มีหลักคิด (ทางการแพทย์) ไว้เป็นเบื้องต้น แต่ก็ไม่ถึงกับยึดติดตายตัว
ให้ความสำคัญกับความคิดของคนไข้เป็นหลักด้วยน่ะค่ะ
เป็นส่วนหนึ่งของการประเมิน และให้คำแนะนำต่อไป
ที่นี่เริ่มเข้าสู่หน้าหนาวแล้วคะ
โชคดีไม่มีหิมะแบบทางฝั่งตะวันออก แต่ก็มีฝนตกปรอยๆ ชวนสลึมสลือ :-)
...
ที่บ้านผมเริ่มเย็น ๆ ผู้มารับบริการน้อยลงมาก
เพราะต้องเกี่ยวข้าวแล้วครับ
วันเสาร์นี้...เห็นเล่นเด็กเล่นว่าวที่สนามฟุตบอลโรงเรียน
...
คุณหมออดิเรก บรรยายได้เห็นภาพ ความสัมพันธ์ของวิถีชีวิต
ทำให้คิดถึงเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่ในความเรียบง่าย
ขอบคุณคะ ที่ช่วยรั้งกลับมาจากกระแสวัตถุนิยมที่เชี่ยวกราก
ขอบคุณคะคุณ Poo
ได้เรียนรู้เช่นกันคะว่า การเขียนทำให้เห็นความยุ่งเหยิง-ซับซ้อน-ลึกลับ ของ Mental model ตนเอง..และน่าประหลาดว่า เมื่อได้ข้อคิด จากท่านอื่นๆ ยิ่งทำให้เห็นแง่มุมที่ไม่เคยมองมาก่อน
...
การเขียนบันทึกใน G2K ถือเป็น การเรียนที่ไม่รู้จบ จริงๆ :-)
ขอบคุณสำหรับดอก..(เฉลยได้ไหมคะ :-)
เห็นด้วยคะ คำว่า "วิจัย" ฟังดูก็เหนื่อยแล้ว
ส่วนตัวรู้สึกว่า อาจเพราะ Methodology หรือ mental model แบบตะวันตก
ไม่ใช่ธรรมชาติ ที่มีความละเอียดอ่อนไปคนละแบบ ก็เป็นได้คะ
แต่พวกเราทำวิจัย-สร้างองค์ความรู้ใหม่ได้แน่นอน ดังที่ อาจารย์ kapoom , คุณหมออดิเรก อ.ภิญโญ กับ R2R สามารถทำให้วิจัยสร้างงานและสร้างสุข ก่อปัญญา ไปพร้อมกัน
10 ปีที่แล้ว...ขาว ดำ แยกกันชัด
5 ปีมานี้...เห็นขาวในดำ มีดำในขาว
เมื่อก่อน ตัดสินชอบ ไม่ชอบคนด้วยประโยคเดียว
ตอนนี้ อย่างที่คุณหมอว่าคะ ในขาวมีดำ ในดำมีขาว
อย่างวันนี้ น้องที่น่ารักคนหนึ่ง
พูดถึง conflict of interest (เรื่องหมอๆ กับสปอนเซอร์จากบริษัทยา)
ในทำนองที่เราฟังแล้วไม่ค่อยสบายใจนัก
เทียบไปคล้ายการมองว่าเรื่องซื้อเสียงเป็นของธรรมดา
ได้แต่ก็หัวเราะหึๆ ไม่ว่าอะไร..
คุณหมอป.จ๋า คุณยายก๊อปมาจากเน็ตฯค่ะยาวพรึดเลย อ่านแล้ววานลบด้วยนะคะ อายคนอื่นค่ะ
ขอบคุณคะที่ช่วยเฉลย ให้ความรู้ ขอยกมาย่อๆ ไว้ที่นี่นะคะ :-)
สวัสดีค่ะคุณหมอป.
แล้วคุณละ ทราบหรือไม่ว่า "Mental model" ของตนเองเป็นเช่นไร
อธิบายง่าย ๆ ขมวดปมถามชวนให้คิดตามและตอบค่ะ หลาย ๆ คนตอบรับข้อเขียนนี้อย่างเห็นได้ชัดเจน
รวมถึงพี่ด้วย
น่านสินะ mental model ของเราคืออะไร
"แบบธรรมดา แบบคิดแล้วทำออกมาเป็นรูปธรรมได้"
ยอมรับว่า อ่านศัพท์แสงวิชาการแล้วเกือบทุกครั้ง คิดตามไม่ออก ต้องปิดหนังสือ แล้วค่อย ๆ คิดว่า เราอยากตั้งคำถามหรือคิด ค้นคว้า วิจัยอะไร ที่ธรรมดา ตอบออกมาแบบเป็นรูปธรรม
เหตุฉะนี้ เรื่องที่พี่ทำมักเป็นเรื่องไม่ยาก ในสายตาของเพื่อนและผู้ช่วยทำ และมักมีคำถามตามมาเสมอว่า พอหรือคะ(จากลูกศิษย์)
แต่จากเพื่อน เขาบอกว่า "ดี คิดได้ไง"
อืม คิดแบบธรรมดา ๆ พื้น ๆ นี่แหละค่ะ