เป็นความตั้งใจของน้าจิตต์ ในการเขียนบันทึกเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ที่มีภาวะเจ็บป่วยเช่นเดียวกับน้าจิตต์ได้เรียนรู้ ครั้งหนึ่งของการเยี่ยม น้าจิตต์แสดงออกถึงความกังวลใจเกี่ยวกับการบันทึกเรื่องราวและจัดพิมพ์ จึงได้อาสาทำงานชิ้นนี้ต่อให้เสร็จ ตรวจอักษรและให้น้าจิตต์ดูอีกรอบ ซึ่งน้าจิตต์ยินดีที่เผยแพร่เรื่องราวให้ผู้สนใจได้เรียนรู้
*******
หลังจากได้รับการยืนยันจากแพทย์แน่ชัดว่า เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายจะมีชีวิตอยู่ไม่เกิน 8 เดือน สภาพจิตตกถึงขีดสุด ความหวังทุกอย่างก็สลายลงในทันที สิ่งแรกที่คิดในขณะนั้นก็คือ จะตัดสินใจว่าจะยอมให้สิ้นชีวิตไปตามข้อมูลที่แพทย์ได้บอกหรือจะต่อสู้ เมื่อทบทวนดูแล้ว ได้ตัดสินใจในขั้นต้น คือ จะไม่ดูแลรักษาในทางแพทย์แผนปัจจุบัน คิดว่าจะปล่อยให้ชีวิตดับไปกับตามอาการของโรคมะเร็ง ด้วยเหตุผลอีก 8 เดือนเท่านั้น ไม่น่าจะทำอะไรได้มากมาย สภาพจิตในขณะนั้นบอกตัวเองว่า เมื่อชีวิตมีเคราะห์กรรมเช่นนี้ก็ขอให้มันเป็นไปตามเวรกรรมที่เกิดขึ้น ในขณะเดียวกันนั้นก็ได้มีชีวิตอยู่อย่างไร้ความหวังสิ่งเดียวที่ได้ทำคือ การทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตในทุกกรณีทั้งความดีที่ได้ ทั้งความผิดพลาดที่ได้ปฏิบัติ และศึกษาค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการรักษามะเร็งโดยวิธีธรรมชาติใช้เวลาในช่วงนี้ 1 เดือน โดยงดอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ทุกชนิดตามความรู้ที่ได้ศึกษาในขณะนั้น ผลปรากฏว่าน้ำหนักลดลงอย่างมากจนน่าวิตก ความกังวลเกี่ยวกับการลุกลามของโรคที่น่ากลัวก็คือ ความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้น จนในที่สุดก็ต้องตัดสินใจใหม่ คือ ต้องต่อสู้ จึงกลับมาเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่งและปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดแนวทางการรักษาอย่างจริงจัง
เมื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา วิธีการแรก ก็คือการให้ เคโม ในคอร์สแรกให้ 8 เข็ม ในเข็มที่ 3 ก็มีอาการแพ้เคโม สิ่งแรกที่เห็น คือผมร่วง และอาการแทรกซ้อนอื่นๆ มากมาย ที่ร้ายที่สุดก็คืออาการดังกล่าวนั้นทำให้สภาวะจิตตกต่ำถึงขีดสุด จากสาเหตุของความทุกข์ทรมานทางร่างกายและภาพลักษณ์ในเชิงสังคม ซึ่งไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ ในขณะที่วิกฤตทางสภาพจิตเกิดขึ้นนี้ก็ได้พยายามศึกษาแนวทางบำบัดทางจิตจากสื่อ จากผู้รู้และจากเพื่อนฝูงจนสามารถเห็นช่องทางในการดูแลสภาพจิตโดยการเข้าคอร์สธรรมชาติบำบัดซึ่งมีการดูแลทางจิตอยู่ในกิจกรรมนี้ด้วยจากสถาบันหนึ่งที่กรุงเทพ ผลจากการปฏิบัติตามแนวทางของสถาบัน ก็พบว่า สิ่งที่จะยืดการมีชีวิตอยู่ได้น่าจะมีสิ่งเดียว คือ มีจิตใจที่เข้มแข็ง ยอมรับกับความจริงที่เกิดขึ้นได้ในทุกกรณี การสรุปดังกล่าวนี้ดูเหมือนจะง่าย แต่ในทางปฏิบัติแล้วมันไม่ง่าย จำเป็นจะต้องศึกษาในประเด็นที่ต้องการให้เข้าใจอย่างถ่องแท้และนำไปปฏิบัติและสังเกตผลที่เกิดขึ้น ทดลองทำด้วยความอดทนหลายๆ ครั้ง จนสามารถสร้างเป็นแบบฉบับของตนให้เหมาะสมกับศักยภาพของตัวเอง จะก่อให้เกิดการปฏิบัติที่มีความสุขและต่อเนื่อง โดยมีแนวคิดทางศาสนาเป็นแกนหลักในการกำหนดแนวทางปฏิบัติให้เกิดความถูกต้อง
1. กระบวนการทางจิตที่ปฏิบัติ
1.1 การทำสมาธิจิต
1.2 สวดมนต์และท่องคาถาที่ได้รับถ่ายทอดจากท่านผู้รู้ ครูบาอาจารย์ในท้องถิ่น
1.3 ศึกษาธรรมะ ทำความเข้าใจ ปฏิบัติและพิจารณาผลที่เกิดขึ้น
2. แสวงหาแรงจูงใจ
2.1 การสร้างความหวังอย่างมีเหตุผลและตั้งใจปฏิบัติให้สมหวัง
2.2 มองโลกในแง่ดีมีความหวัง รักคนรอบข้าง มีจิตอนุรักษ์
3. มีความมุ่งมั่น ความอดทน
3.1 มีความเชื่อมั่นในตนเอง สามารถต่อสู้กับโรคร้ายได้ ไม่ถ้อถอย มีความอดทนต่อความยากลำบากในการปฏิบัติกิจกรรม
3.2 สร้างกำลังใจให้ตัวเอง สู้อย่างเด็ดเดี่ยวใจเกินร้อย ทำสัญญากับตัวเอง ถ้าสู้ไม่ได้ ก็ตายเสียเถอะ
3.3 บอกกับตัวเองว่า ตัวเราเท่านั้นที่จะต่อสู้กับโรคร้ายนี้ได้ คนรอบข้างช่วยได้แค่กำลังใจ
ไม่มีความเห็น