Third stage เพื่อป้องกันภาวะตกเลือดหลังคลอด
ที่มาของปัญหา
งานห้องคลอดโรงพยาบาลหนองจิก ให้บริการทางสูติกรรมตลอด 24 ชั่วโมง ตามศักยภาพของโรงพยาบาล 30 เตียง โรงพยาบาลหนองจิกเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพขนาด 30 เตียง ซึ่งมีการพัฒนาคุณภาพงานบริการตามตัวชี้วัด และการพัฒนางานตามมาตรฐาน HA ประกอบกับบริบทของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ได้มีการกำหนดตัวชี้วัดของงานอนามัยแม่และเด็กให้อัตราการตายของมารดาที่มาคลอด ไม่เกิน 18: 100000 ของเด็กเกิดมีชีพ (ตัวชี้วัดกรมอนามัย) ดังนั้นในส่วนของงานห้องคลอดจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการพัฒนาคุณภาพการบริการเพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดอัตราการตายของมารดา จากสถานการณ์ของห้องคลอดที่ผ่านมาพบว่าภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นกับมารดาที่อาจทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต ได้แก่ ภาวะตกเลือดหลังคลอดและสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดี ซึ่งจากการทบทวนอัตราภาวะตกเลือดหลังคลอดที่เกิดจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดี 3 ปีย้อนหลัง ในปีงบประมาณ 2550, 2551 และ 2552พบอัตราภาวะตกเลือดหลังคลอดที่เกิดจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดีดังนี้คือ 54.54%, 64.29% และ58.82% (ข้อมูลตัวชี้วัดงานห้องคลอด, 2550-2551) และถึงแม้ว่าจะมีอัตราลดลง แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเฝ้าระวัง ด้วยเหตุนี้ทีมงานห้องคลอดร่วมกับแพทย์ผู้เกี่ยวข้องจึงได้ร่วมกันพัฒนาแนวทางการปฏิบัติเพื่อป้องกันภาวะตกเลือดหลังคลอดองมารดาที่เกิดจากสาเหตุมดลูกหดรัดตัวไม่ดีขึ้นมา
วัตถุประสงค์
๑.เพื่อหาแนวทางการป้องกันภาวะตกเลือดหลังคลอด
๒.เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดในรายที่ป้องกันได้
๓. เพื่อป้องกันและแก้ไขภาวะช็อคจากการตกเลือด ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม
๔.อัตรามารดามีภาวะตกเลือดหลังคลอด ไม่เกิน 3 %
การวิเคราะห์สาเหตุหลัก
ภาวะตกเลือดหลังคลอดส่วนใหญ่เกิดจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดี โดยจากการทบทวน 3 ปีย้อนหลังพบอัตราภาวะตกเลือดหลังคลอดที่เกิดจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดีดังนี้คือ ดังนี้คือ 54.54%, 64.29% และ58.82% ตามลำดับ
ตัวชี้วัดของโครงการ
อัตรามารดามีภาวะตกเลือดหลังคลอดที่มาจากสาเหตุมดลูกหดรัดตัวไม่ดี ไม่เกิน 65 %
มารดาไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงแก่ชีวิต
วิธีการดำเนินงาน
ขั้นเตรียมการ
1 จัดประชุมทบทวนในหน่วยงาน ร่วมกับแพทย์ผู้เกี่ยวข้อง เพื่อหาสาเหตุหลักของการเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอด
2 วางแผนและหาแนวทางแก้ไขป้องกัน โดยร่วมกันร่างแนวทางปฏิบัติ
3 จัดทำและพัฒนาเป็นแนวปฏิบัติเพื่อป้องกันภาวะตกเลือดหลังคลอด ในรูปแบบ WI เรื่อง การดูแลใน Third stage วิธี Active management โดยประกาศใช้ในหน่วยงานวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2553
ขั้นปฏิบัติการ
1 ปฏิบัติตาม WI เรื่อง การดูแลใน Third stage วิธี Active management ดังนี้
วิธีปฏิบัติงาน :
๑.ให้ Oxytocin 10 unit ใน IV 1,000 ml. Drip 100 ml. /hr ทันทีที่เด็กคลอด
๒. Clamp สายสะดือทันทีที่ทารกคลอด
๓. คลำมดลูกเบาๆ เพื่อดูว่ามดลูกหดรัดตัวดีหรือไม่
๓.๑ เมื่อมดลูกหดรัดตัวดี ให้ดึงสายสะดือเบาๆขณะเดียวกันให้โกยมดลูกขึ้นโดยดันขึ้นจากบริเวณ หัวหน่าว เมื่อรกคลอดแล้วให้คลำยอดมดลูกว่ามดลูกหดรัดตัวดีหรือไม่ ถ้าจำเป็นให้คลึงมดลูก
๓.๒ ตรวจรกโดยละเอียดว่ารกคลอดครบหรือไม่
๓.๓ ตรวจดูช่องทางคลอดว่ามีการฉีกขาดหรือไม่ แผลเป็นอย่างไร โดยเฉพาะถ้ามีการทำสูติศาสตร์หัตถการ และให้เย็บซ่อมแซมแผลฝีเย็บโดยเร็ว
๓.๔ เฝ้าระวังการตกเลือดหลังคลอดอย่างใกล้ชิดทุก 15 นาทีเป็นเวลา 1 ชม.
( ดูแลต่อตาม WI-NUR-LR-20)
๔ ให้ระวังในผู้ป่วยต่อไปนี้ที่มักได้รับผลกระทบ และเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่ายแม้ตกเลือดไม่มาก เช่น Pre eclampsia, Anemia, Dehydrate, small stature ( ตัวเล็ก )
๕. ฉีด Methergin 1 amp ( 0.2 mg IM ) หาก BP.ไม่สูง
๖. ขั้นประเมินผล ประเมินผลการนำ WI เรื่อง การดูแลใน Third stage วิธี Active management มาใช้ เปรียบเทียบก่อน – หลังการนำ WI มาใช้
๗. ผลการดำเนินงาน
ก่อนนำ WI เรื่อง การดูแลใน Third stage วิธี Active managementมาใช้ |
หลังนำ WI เรื่อง การดูแลใน Third stage วิธี Active managementมาใช้ |
1. ปีงบประมาณ 2550 – 2552 พบอัตราการเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดสาเหตุจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดีตามลำดับดังนี้ คือ 54.54%, 64.29% และ58.82% |
1. ปีงบประมาณ 2553 (19 ก.พ.53- ก.ย. 53) พบอัตราการเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดสาเหตุจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดีดังนี้ คือ 47.05% |
2. ไม่มี WI เรื่อง การดูแลใน Third stage วิธี Active management |
2. มี WI เรื่อง การดูแลใน Third stage วิธี Active managementโดยประกาศใช้เป็นนโยบายในหน่วยงาน |
3. เมื่อเกิดอุบัติการณ์ภาวะตกเลือดหลังคลอดจะมีการประชุมเฉพาะกลุ่มเล็กๆและส่งเวรกันในหน่วยงาน |
3. เมื่อเกิดอุบัติการณ์ภาวะตกเลือดหลังคลอดจะมีการประชุมทั้งในหน่วยงาน และสหวิชาชีพ รวมทั้งแพทย์ผู้เกี่ยวข้อง ตลอดจนมีการทบทวนสรุป case ส่งหัวหน้างานและหัวหน้าฝ่ายการพยาบาลทางระบบคอมพิวเตอร์ |
4. มีการกำหนดให้เขียนบันทึกอุบัติการณ์ความเสี่ยง แต่เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยบันทึกเพราะกลัวความผิด |
4. มีการกำหนดให้เขียนบันทึกอุบัติการณ์ความเสี่ยง และเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือมากขึ้นเพราะมีการทำความเข้าใจในการเขียนบันทึกอุบัติการณ์ความเสี่ยงเพื่อให้เกิดการพัฒนางาน อีกทั้งมีผู้รับผิดชอบคอยติดตามงานอย่างชัดเจน |
สรุปผลดำเนินงาน
การวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน
ด้านระบบงาน
เกิดการทำงานเป็นทีมโดยมีสหสาขาวิชาชีพเข้ามามีส่วนร่วม เช่น PCT, HRD, RM
มีแนวทางในการปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อป้องกันภาวะตกเลือดหลังคลอด ซึ่งเกิดจากสาเหตุมดลูกหดรัดตัวไม่ดี
มีการประชุมติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
มีการทบทวน competency ของหน่วยงานและของเจ้าหน้าที่เพื่อประเมินความสามารถในการปฏิบัติงานของบุคลากร
มีการเขียนบันทึกอุบัติการณ์ความเสี่ยง รายงานทั้งในสมุดรายงานความเสี่ยงและบันทึกในระบบคอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาล
เกิดการพัฒนา CQI อย่างต่อเนื่อง
CQI รอบที่ 1 การทบทวนแนวทางการดูแลมารดาที่มีภาวะตกเลือดหลังคลอด โดยได้จัดทำโครงการพัฒนาคุณภาพ “เอาใจใส่แม่เพื่อแก้ตกเลือด”
ผลลัพธ์
1. เกิด WI แนวทางการดูแลมารดาหลังคลอดที่ชัดเจน ประกาศใช้ในหน่วยงาน
2. เกิด WI การคาดคะเนจำนวนเลือดให้เป็นแนวปฏิบัติเดียวกัน แทนการคาดคะเนจำนวนเลือดโดยการใช้ความรู้สึก
3. พบอัตรามารดามีภาวะตกเลือดหลังคลอดไม่เกณฑ์ 3% ตามเป้าที่กำหนด คือในปีงบประมาณ 2551 และ2552 คือ 2.29% และ 2.93% ตามลำดับ
- CQI รอบที่ 2 การทบทวนแนวทางการดูแลมารดาที่มีภาวะตกเลือดหลังคลอด (อย่างต่อเนื่อง)
ผลลัพธ์
1. เกิด WI เรื่อง การดูแลใน Third stage วิธี Active management
2. พบอัตรามารดามีภาวะตกเลือดหลังคลอดไม่เกณฑ์ 3% ตามเป้าที่กำหนด คือในปีงบประมาณ 2553 (ตั้งแต่เริ่มใช้ WI) คือ 19 ก.พ.53- ก.ย.53 = 2.94%
ด้านบุคลากร
ทำให้เกิดการปฏิบัติงานง่ายและมั่นใจมากขึ้น เพราะมีแนวทางปฏิบัติที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจน ประกาศใช้ในหน่วยงาน
การปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และมาตรฐานเดียวกัน
เจ้าหน้าที่มีการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆเพิ่มเติมในการดูแลมารดาในระยะคลอด และมีส่วนร่วมในการค้นหาปัญหาและทบทวนปัญหาร่วมกันในหน่วยงาน
ปัญหาและอุปสรรคที่พบ
ด้านบุคลากร
การประกาศใช้ WI ในยะแรก บุคลากรยังไม่คุ้นเคยในการปฏิบัติจึงทำให้เกิดการปฏิบัติไม่สม่ำเสมอครอบคลุม 100%
เจ้าหน้าที่ที่หมุนเวียนจุดเข้ามาใหม่ อาจยังไม่ทราบว่ามีการประกาศใช้ WI เรื่อง การดูแลใน Third stage วิธี Active management จึงมีการปฏิบัติแบบเดิมในระยะแรก
ด้านสังคมสิ่งแวดล้อม
ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดความสำเร็จ
ความร่วมมือ ตั้งใจ ความพร้อมเพรียงในการปฏิบัติที่เป็นแนวทางเดียวกันของบุคลากรในหน่วยงาน โดยมีหัวหน้างานเป็นผู้สนับสนุนและเสริมแรงให้กำลังใจในการปฏิบัติงาน
การทำงานแบบสหวิชาชีพ มีแพทย์ผู้รับผิดชอบเป็นที่ปรึกษาที่ดี
โอกาสในการพัฒนาและประสานงาน
- การดูแลในระยะที่ 4 ของการคลอด (หลังคลอด 2 ชม.) กำหนดให้มีการ Check V/S ทุก 15 นาที 2 ครั้ง,ทุก 30 นาที 2 ครั้ง,และทุก 1 ชม.จนปกติ ร่วมกับการคลึงมดลูกเค้นล้วง Blood cloth จนกระทั่งมดลูกหดรัดตัวกลมแข็งดี ดูแลทางเดินปัสสาวะให้โล่งทุกราย
- Early BF ภายใน 30 นาทีหลังคลอดทุกราย (เว้นมีข้อห้าม)
- การประสานงานกับ ANC High risk ของโรงพยาบาลเพื่อประเมินคัดกรองมารดาที่มีภาวะเสี่ยงต่อการตกเลือดหลังคลอด ที่จะมาคลอดในโรงพยาบาล เพื่อให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานในห้องคลอดได้เฝ้าระวังและสามารถแก้ไขได้ทันท่วงทีหากเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ โดยอาจจัดทำเป็นแบบฟอร์มประเมินมารดากลุ่มที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอด ในรูปแบบที่ชัดเจนแนบติดมากับสมุด ANC เพื่อเกิดแนวทางการปฏิบัติที่แตกต่างจากมารดาที่มาคลอดโดยไม่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอด และยังเกิดการพัฒนางานที่ต่อเนื่องต่อไป
- การดูแลมารดาในระยะที่ 4 ของการคลอด ( หลังคลอด 2 ชั่วโมง ) กำหนดให้มีการ Check V/S ทุก 15 นาที 2 ครั้ง,ทุก 30 นาที 2 ครั้ง,ทุก 1 ชั่วโมง 1 ครั้งจนกระทั่งปกติร่วมกับการคลึงมดลูกเค้นล้วง Blood cloth ดูแลทางเดินปัสสาวะให้โล่ง
- Early breast feeding ภายใน 30 นาทีแรกคลอดทุกราย
ยังคงติดตามอย่างต่อเนื่องครับ
สวัสดีคะ ไปออกหน่วยสาธารณสุขเคลื่อที่ ที่ นนทบุรี กันไหมคะ โรงพยาบาลหนองจิก เดินทาง วันที่ ๘ นี้คะ
ไปช่วย ชาวบ้านเรื่องสุขภาพ ๕ วัน เตรียมตัวลุยเต็มที่