นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ ...บันทึกลุงสมปอง ...กว่าจะจับคนร้ายได้


ในความคิดของลุง กระบวนการค้นหา ดูเหมือนจะสร้างความทุกข์ทรมานมากกว่าช่วงได้รับการรักษาเสียอีก

ได้พบและรู้จักลุงสมปอง ในกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อผู้ป่วยมะเร็ง ...ลุงมาเล่าถึงประสบการณ์ของการเป็นมะเร็งและให้กำลังใจให้เพื่อนมะเร็ง ลุงขอให้เพื่อนทุกคนเข้มแข็ง

หลังจากนั้นได้มีโอกาสพูดคุย ติดตามไปเยี่ยมที่บ้านของลุงสมปองหลายครั้ง ลุงเป็นคนใจดี มีความรู้รอบ และยินดีแลกเปลี่ยนและสอนให้ประสบการณ์ในทุกเรื่อง ลุงเล่าว่า ลุงตั้งใจจะเขียนหนังสือเล่าประสบการณ์ชีวิตการต่อสู้กับมะเร็งให้เพื่อนที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้เรียนรู้

 

บันทึกต่อไปนี้เป็นเรื่องเล่าจากประสบการณ์ของลุงสมปอง ถึง กระบวนการค้นหามะเร็ง ...คนร้าย...ซึ่งลุงเล่าว่า ในความคิดของผล กระบวนการค้นหา ดูเหมือนจะสร้างความทุกข์ทรมานมากกว่าช่วงได้รับการรักษาเสียอีก...

******************************************************

มะเร็งเป็นโรคร้ายในปัจจุบัน  มะเร็งคร่าชีวิตคนไทยอยู่ในอันดับต้น ๆ  ไม่มีใครอยากพบอยากเจอกับมะเร็ง  เพราะถ้ามะเร็งเข้าสู่ร่างกายแล้วโอกาสที่จะรอดกับมาใช้ชีวิตอย่างปกติค่อนข้างจะยาก  สำหรับตัวผมนั้นเป็นผู้ที่ได้รับเกียรติจากมะเร็งค่อนข้างสูง  เพราะเมื่อปี  พ.ศ.  2542  หมอได้ตรวจพบว่ามะเร็งเข้าสู่ร่างกายมาแล้วไม่น้อยกว่า  6  ปี  ตอนที่หมอพบมัน  อาการของมะเร็งย่างเข้าสู่ขั้นโคม่าแล้ว  หมอได้ตรวจพบว่า  ผมเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง  ชื่อ  Burkitt's lymphoma รายละเอียดผมได้เขียนไว้ในหนังสือ  ชื่อว่า อยู่กับมะเร็ง  ซึ่งพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ใกล้หมอ  หลังจากผมรับการรักษาโดยเคมีบำบัดแล้วร่างกายผมตอบสนองต่อการบำบัดดีมาก  ผมมีชีวิตอย่างปกติจนครบ  5  ปี  แพทย์บอกผมว่าผมหายขาดจากมะเร็งแล้วให้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้  แต่อย่ารับสารที่ทำให้เกิดมะเร็ง  เช่น  สูบบุหรี่  ดื่มเหล้า  และอาหาร  ฯลฯ  ซึ่งผมก็ปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดโดยตลอด  และไปพบหมอตามนัดทุกปี 

                จวบจนกระทั่งถึงปี  พ.ศ.  2552  ช่วงปลายปีผมมีความรู้สึกว่า  ผมมีอาการแปลก ๆ  คล้ายกับอาการช่วงก่อนที่ผมไปพบหมอเมื่อปลายปี  พ.ศ.  2541  แต่ผมก็ไม่สามารถค้นหาความผิดปกติในร่างกายของตัวเองได้  เมื่อเดือนกุมภาพันธ์  2553  อาการผิดปกติก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น  ในคืนวันที่  17  กุมภาพันธ์  2553  ก่อนนอนผมได้ทำการสำรวจตัวเองที่คลำพบก้อนเนื้อโตประมาณ  10  ซม.  ที่บริเวณลิ่นปี่  เช้าวันที่  18 กุมภาพันธ์  2553  ผมรีบไปพบแพทย์  ซึ่งท่านเป็นผู้พบก้อนเนื้อเมื่อปี  2542  ท่านบอกว่าเป็นก้อนเนื้อร้ายแน่นอน  แต่ไม่สามารถบอกได้ว่ามาจากบริเวณใด

                วันที่  24  กุมภาพันธ์  2553  ผมไปพบแพทย์โรคเลือดตามนัดปีละครั้ง  และแจ้งให้ท่านทราบว่ามะเร็งกลับมาอีก  ท่านก็ไม่ค่อยจะเชื่อ  เพราะคงเป็นไปไม่ได้  แต่เมื่อท่านให้ผมขึ้นไปนอนบนเตียง  ท่านคลำดูก็พบก้อนเนื้อจริงตามที่ผมเล่าให้ท่านฟัง  คุณหมอก็สั่งให้ผมไปยังศูนย์  CT  และแพทย์ได้นัดให้ไปทำ  CT  ในวันที่  10  มีนาคม  2553 

                กระบวนการค้นหา 

กระบวนการนี้ผมคิดเอาเองตามความรู้สึกและเข้าใจของผมทางการแพทย์อาจจะไม่เรียกเหมือนผม  ท่านผู้รู้เมื่ออ่านแล้วอย่าหัวเราะนะ  เพราะท่านเห็นว่าไม่ถูกที่ผมตั้งชื่อว่ากระบวนการค้นหานั้นมันเพื่อความรู้สึกเฉพาะตัวของผม  เมื่อหมอเจ้าของไข้ตรวจแล้วท่านต้องการจะทราบว่ามีก้อนเนื้อเกิดขึ้นที่ใดลุกลามไปที่ใดบ้างต้องอาศัยเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยเข้าไปค้นหา  เช่น  การทำ  CT, X-Ray Com ฯ  ทำอัลตราซาวด์  ทำ  MRI  เป็นต้น  สำหรับผมนั้น คุณหมอเลือกเอาวิธีทำ  CT  โดยส่งผมไปยังศูนย์  CT  ทางศูนย์  CT  ได้นัดให้ไปทำในวันที่  10  มีนาคม  2553  โดยให้ไปทำในเวลานอกราชการ  ถ้าทำในเวลาราชการต้องได้คิวประมาณปลายเดือนพฤษภาคม  การทำนอกเวลานั้นเราต้องเสียเงินเพิ่มเล็กน้อย  ซึ่งถือว่าไม่เป็นไร  เพราะหมอจะได้รู้ว่าเราเป็นมะเร็งอะไร  บำบัดรักษาอย่างไรเร็วขึ้น

                วันที่  7  มีนาคม  2553  คุณหมอระบบโลหิตวิทยา ท่านนัดไปฟังผล  CT  ซึ่งมีผลรายงานดังนี้ small nodes at paratrachial area and large SMV nodes (about 10 cm), large portal hepatic nodes (about 6 cm.).

 

              เมื่อคุณหมอได้รับผลการทำ CT แล้วว่ามีก้อนเนื้อที่ใดบ้าง คุณหมอท่านคงจะตั้งสมมติฐานว่าผมคงจะเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอาจจะเป็นตัวเดิมคือ  Burkitt's lymphoma หรือไม่ใช่ก็ได้ เพราะตามประวัติเดิมผลเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ดังนั้นคุณหมอจึงส่งผลไปยังคลินิกรังสีร่วมรักษา เพื่อเจาะเอาก้่อนเนื้อไปตรวจหาว่าเป็นมะเร็งชนิดใด

 

                ที่คลินิกรังสีร่วมรักษา  เขาใช้เครื่องอัลตราซาวด์ค้นหาก้อนเนื้อในช่องท้อง  เมื่อเจอก้อนเนื้อในช่องท้องแล้ว  แพทย์จะเจาะด้วยเข็มเล็ก ๆ  แล้วจะมีที่ตัดชิ้นเนื้อแล้วดูดออกมา  ภาษาทางการแพทย์เรียกว่า  BIOPSY  เมื่อผมไปพบหมอที่คลินิกรังสีร่วมรักษาแล้วคุณหมอก็นัดให้ผมไปทำการเจาะชิ้นเนื้อในวันที่  2  เมษายน  2553  และให้ไปนอนโรงพยาบาลในวันที่  1  เมษายน  2553  โดยมีการเตรียมตัวผู้ป่วย  เพื่อการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ ดังนี้  ผมก็เอาใบนัดไป  คุณหมอระบบโลหิตวิทยา  คุณหมอก็ให้ผมไปจองเตียงที่ผู้จัดการเตียง  ซึ่งเป็นห้องสามัญ  ผมต้องการจะจองห้องพิเศษเผื่อไว้ด้วย  แต่คุณหมอไม่ยอม  เพราะเห็นว่าจะเป็นอันตราย  และคุณหมอก็นัดไปฟังผล  เมื่อวันที่  7  เมษายน  2553  แต่เมื่อถึงวันที่  1  เมษายน  2553  ผลปรากฏว่าไม่มีเตียงให้  ดังนั้นทางคลินิกรังสีร่วมรักษาต้องเลื่อนคิวออกไปเป็นวันที่  29  เมษายน  2553  เมื่อถึงวันนัด  ผมก็ไปตามนัดแล้วแจ้งให้ท่านทราบว่าคิวเจาะชิ้นเนื้อเลื่อนไปวันที่  29  เมษายน  2553  คราวนี้คุณหมออนุญาตให้จองเตียง  และจองห้องพิเศษด้วย

                เมื่อถึงวันที่  28  เมษายน  2553  ผมไปโรงพยาบาลตามนัด  แล้วรายงานให้ท่านทราบว่าคิวเจาะเพื่อตัดชิ้นเนื้อได้วันที่  29  เมษายน  2553  เข้านอนโรงพยาบาลวันนี้  (วันที่  28  เมษายน  2553)  วันนี้ผมต้องนั่งลุ้นว่าจะได้เตียงหรือไม่  ปรากฏว่าก่อนเที่ยงผู้จัดการเตียงบอกว่าไม่มีเตียง  เพราะมีผู้ป่วยฉุกเฉินมาแทรก  1  ราย  ผมจึงไปลุ้นห้องพิเศษปรากฏว่าบ่าย  4  โมง  จึงได้ห้องพิเศษ  จึงรีบโทรให้ลูกรีบเดินทางมาเฝ้า  เพราะห้องพิเศษเขาไม่ยอมให้ผู้ป่วยอยู่คนเดียว  ลูกเดินทางมาถึงโรงพยาบาล  2  ทุ่ม เมื่อมาถึงโรงพยาบาลแล้ว  หมอและพยาบาลก็ทำตามมาตรฐานที่เขากำหนดไว้  ส่วนที่สำคัญ  คือ  งดอาหารและน้ำตั้งแต่หลังเที่ยงคืนเป็นต้นไป  รุ่นขึ้น  9  โมงเช้า  ก็ไปทำการเจาะชิ้นเนื้อ  ขณะที่คุณหมอทำก็ไม่เจ็บทรมานเท่าไร  รุ่งขึ้นคุณหมอให้กลับบ้านได้  แล้วนัดฟังผลชิ้นเนื้อในวันพุธที่  12  พฤษภาคม  2553 

                เมื่อเข้าวันกำหนดตามนัด  ผมรู้สึกดีขึ้นเพราะจะได้รู้เสียทีว่าเป็นมะเร็งตัวเก่าหรือตัวใหม่  คุณหมอจะได้รีบรักษา  จะแบบใดก็ยอมทุกอย่าง  แต่ผลปรากฏว่าชิ้นเนื้อที่ผลห้อง  Lab  รายงานเพียงแต่สงสัยว่าจะเป็นมะเร็ง  แต่ไม่ทราบชนิด  คุณหมอต้องให้ผมไปจองห้องไว้ล่วงหน้า  ผมได้ห้องในวันที่  23  พฤษภาคม  2553  ซึ่งเป็นวันอาทิตย์  ผมรีบเดินทางทันที  คราวนี้ได้เจอคุณหมอ  ซึ่งเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยประจำหอผู้ป่วย  โดยได้คุยกันว่าต้องเจาะใหม่  ผมเสนอไปว่าถ้าไม่เจออีกก็ให้ผ่าตัด  แล้วตัดชิ้นเนื้อออกมา  คุณหมอไม่ค่อยจะเห็นด้วยเป็นเรื่องใหญ่  และถ้าหากรู้ว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองตัวเก่าก็จะต้องให้เคมีบำบัด  โดยฝังท่อไปที่เส้นโลหิตดำใหญ่  แล้วให้ยาทางท่อนี้  การให้แต่ละครั้งจะต้องใช้เวลาเป็นเดือน  ผมมีความรู้สึกว่าผมรับได้  เมื่องดอาหารและน้ำได้ตามกำหนดแล้ว  ผมถูกส่งตัวไปทำการเจาะช่องท้องเพื่อตัดชิ้นเนื้ออีกครั้ง  หลังจากนั้นอีก  2  วัน  ผมถูกส่งตัวไปทำอัลตราซาวด์อีก  เมื่อเสร็จแล้วผมก็ได้กลับบ้านในวันที่  28  พฤษภาคม  2553  และคุณหมอก็นัดไปฟังผลโดยการให้จองห้องในวันที่  3  มิถุนายน  2553

                วันที่  3  มิถุนายน  2553  ผมคอยโทรศัพท์จากโรงพยาบาลจนกระทั่ง  1  ทุ่ม  คิดว่าคงจะไม่มีห้องว่างแล้ว  ก็เตรียมตัวจะนอนอยู่แล้ว  จู่ ๆ  ก็ได้รับโทรศัพท์ว่าให้เข้าโรงพยาบาลได้  ผมเข้าไปโรงพยาบาลได้เข้าห้อง  3  ทุ่มครึ่ง  เช้าหมอไปตรวจพบว่าผมตัวเหลืองแล้วแจ้งว่า  ต้องรีบแก้ปัญหาเรื่องตัวเหลืองก่อน  หมอแจ้งว่าก้อนเนื้อน่าจะไปทับท่อน้ำดี  หมอต้องส่องกล้องแล้วขยายท่อน้ำดี  แล้วต่อท่อน้ำดีให้ระบายลงไปในลำไส้ส่วนชิ้นเนื้อที่ทำ  BIOPSY  ครั้งที่  2  ยังไม่ทราบผล  และตามที่วางแผนไว้ว่าจะต้องฝังท่อไปที่เส้นโลหิตดำใหญ่ที่หัวใจ  เพื่อให้เคมีบำบัดนั้นจะต้องรอไปก่อน  เพราะยังไม่ทราบว่าเป็นมะเร็งชนิดใด

                วันเสาร์ที่  4  มิถุนายน  2553  คุณหมอโรคทางเดินอาหาร  ได้แจ้งให้เตรียมตัวรับการส่องกล้อง  ผมต้องเริ่มงดอาหารและน้ำหลังเที่ยงคืนของวันอาทิตย์  เพื่อจะส่องกล้องในวันจันทร์ที่  7  มิถุนายน  2553  แต่บังเอิญมีการเข้าใจผิดกันเล็กน้อย  ผมรับประทานอาหารเช้าตามที่พยาบาลแจ้งว่ารับประทานได้  แต่เมื่อไปถึงศูนย์  ผมก็แจ้งเรื่องรับประทานอาหารเช้าให้พยาบาลทราบ  ผมจึงถูกส่งตัวกลับหอผู้ป่วย  ผมได้รับการส่องกล้องในวันที่  8  มิถุนายน  2553  คุณหมอที่ส่องกล้องแจ้งว่า แล้วตัดชิ้นเนื้อที่แผลออกมาด้วย 

                วันที่  9  มิถุนายน  2553  ผมได้รับแจ้งจากคุณหมอว่าผลของชิ้นเนื้อที่ทำ  BIOPSY  ไม่สามารถทำ Lab  ได้  เพราะเป็นเซลล์ที่ตายแล้ว  จึงรอผล  Lab  จากชิ้นเนื้อที่ส่องกล้อง

                วันที่  10  มิถุนายน  2553  คุณหมอโรคเลือดส่งเจาะไขกระดูก  หลังจากเจาะไขกระดูกแล้ว  คุณหมอก็ให้พักผ่อนรอฟังผล  ตอนเย็นของวันนี้ผมถูกส่งตัวไปทำอัลตราซาวด์เพื่อดูว่ามีก้อนเนื้อโตขึ้นหรือไม่

                เช้าวันที่  11  มิถุนายน  2553  คุณหมอประจำหอผู้ป่วยและคุณหมอโรคเลือดแจ้งว่าให้ผมกลับบ้านในวันที่  12  มิถุนายน  2553  ได้

                เช้าวันที่  12  มิถุนายน  2553  ผมเตรียมตัวจะกลับบ้านแต่ปรากฏว่าจู่ ๆ  ผมเกิดมีอาการไข้ขึ้นสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ  ผมแจ้งให้พยาบาลทราบ  ผมถูกเจาะเลือดไปเพาะเชื้อและต้องให้ยาฆ่าเชื้อเป็นเวลา  7  วัน  เป็นอันว่าการกลับบ้านต้องยกเลิกไปโดยปริยาย  และในวันนี้พยาบาลได้แจ้งว่าให้ผมงดอาหารและน้ำในภาคบ่าย  เพื่อเตรียมตัวทำ  CT  เป็นครั้งที่  2  ผมได้คิวทำ  CT  2  ทุ่ม  เมื่อกลับถึงห้องประมาณ  3  ทุ่ม  ผมรู้สึกปวดท้องจึงเข้าห้องน้ำ  หลังจากถ่ายเสร็จ  หันไปดูโถส้วมปรากฏว่าในโถส้วมเต็มไปด้วยเลือดสด ๆ  ผมรีบแจ้งพยาบาลกับพี่พยาบาลและหมอให้เข้ามาดู  คืนนี้ผมถ่ายเป็นเลือดสด ๆ  ถึง  4  ครั้ง  คุณหมอต้องรีบทำการรักษาโดยด่วน  โดยให้ยาทางเส้นเลือด  เช้าขึ้นมาก็ปรากฏว่าอาการถ่ายเป็นเลือดก็หายไป  แต่คุณหมอได้ทำการหาที่มาของการถ่ายเป็นเลือดในครั้งนี้โดย

                                1. ใส่สายยางเข้าทางจมูกลงไปสู่กระเพาะอาหาร  ท่านลองคิดดูซิว่ามันทรมานขนาดไหน  ถ้านึกไม่ออกก็ทดลองเอาสายยางขนาดสายน้ำเกลือใส่ลงไปทางจมูกจนถึงกระเพาะอาหารดู  ผมคงไม่ต้องอธิบาย  เมื่อสายยางถึงกระเพาะอาหารแล้วพยาบาลก็ใช้กระบอกฉีดยาฉีดน้ำเข้าไปในกระเพาะอาหาร  แล้วดูดออก  ก็ปรากฏว่ามีเลือดปนออกมาด้วย  ต้องทำการฉีดน้ำเข้าแล้วดูดออกจนหมดเลือด  ก็ประมาณ  4  ครั้ง  เมื่อเสร็จกระบวนการ  สายยางก็ถูกดึงออก  อาการทรมานก็หายเหมือนปลิดทิ้ง

                วันที่  13  มิถุนายน  2553  ผมถูกงดอาหารและน้ำอีกครั้ง    เพื่อส่องกล้องหาสาเหตุที่มาของการถ่ายเป็นเลือด  แต่ครั้งนี้จะต้องรับประทานยาระบายและน้ำถึง  2  ลิตร  ปรากฏว่ากระเพาะอาหารและลำไส้ของผมสะอาดไม่มีอะไรเจือปน 

                เช้าวันที่  14  มิถุนายน  2553  ผมถูกส่งตัวไปยังศูนย์ทางเดินอาหารและตับอีกครั้ง  ครั้งนี้คุณหมอตั้งใจไว้ว่าจะต้องส่องกล้องทั้งทางปากและทางทวารหนักด้วย  เมื่อคุณหมอพ่นยาชาเข้าทางปากแล้ว  ผมจำได้ว่าคุณหมอสอดกล้องไปได้แค่ลำคอ  ผมก็ไม่รู้สึกตัวอะไรอีกแล้ว  มารู้สึกตัวที่ห้อง  คุณหมอได้แจ้งให้ทราบว่าลำไส้ไม่มีแผลจึงส่องเฉพาะทางปากเท่านั้น  พร้อมกับได้บันทึกการกระจายของเนื้องอกที่ลำไส้ออกมา  5  จุด 

                หลังจากนี้  ผมต้องรับยาฆ่าเชื้อจนครบ  7   วัน  จนถึงเช้าวันที่  19  มิถุนายน  2553 

                เช้าวันที่  15  มิถุนายน  2553  ผมได้ทราบจากคุณหมอ ว่าผลชิ้นเนื้อทราบแล้ว  ปรากฏว่าไม่ใช่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง  แต่เป็นมะเร็งที่ตับอ่อน  ประมาณบ่าย  4  โมงของวันนี้  ได้รับแจ้งให้ทราบว่าผมจะถูกย้ายไปเป็นคนไข้ของคุณหมอท่านหนึ่ง ผมได้แต่ขอบคุณคุณหมอโรคเลือด  โดยเฉพาะคุณหมอที่รักษาผมตั้งแต่ครั้งแรก  ซึ่งได้ต่อชีวิตให้ผมมาตั้งแต่ปี  2542  จนถึงปี  2553  และผมรู้สึกตื้นตันใจ  เพราะผมมีความรู้สึกผูกพันกับคุณหมอจนถึงพยาบาลทุกท่าน  ผมได้แต่อวยพรให้คุณพระคุ้มครองทุกท่านด้วย

                วันที่  19  มิถุนายน  2553  คุณหมอให้ผมกลับบ้านได้  ผมก็ได้กลับบ้านประมาณ  11  โมงกว่า ๆ    เมื่อกลับบ้านแล้ว  ตอนเย็นก็ได้มีเพื่อนฝูง มารับประทานอาหารที่บ้าน  ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความจริงใจของเพื่อนที่เราอยู่กันมาตั้งแต่เด็กจนอายุล่วง  60  กว่าปี

                สรุปการค้นหาว่าผมเป็นมะเร็งอะไรนั้น  ต้องใช้เวลาถึง  4  เดือนเต็ม  ทำ  CT  2  ครั้ง  X-Ray  3  ครั้ง  เจาะเอาชิ้นเนื้อ (BIOPSY)  2  ครั้ง  อัลตราซาวด์  2  ครั้ง  ส่องกล้อง  2  ทาง  ทางปาก  2  ครั้ง  สอดสายยางทางจมูก  1  ครั้ง

หมายเลขบันทึก: 466611เขียนเมื่อ 30 ตุลาคม 2011 10:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 พฤษภาคม 2012 01:25 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท