“มาอีกนะ อยากให้มาอีก มาช่วยหน่อยนะ” ... คำพูดที่ออกมาจากปากของคุณตาคนหนึ่ง ซึ่งกำลังเก็บขวดพลาสติกได้บอกผม หลังจากที่คุณตาได้เห็นผมและเพื่อนๆเอาของมาบริจาค ...
ณ วันที่ 27 ตุลาคม 2554 พวกเราได้เดินทางออกไปช่วยผู้ประสบภัย โดยที่วางเป้าหมายไว้คร่าวๆว่าจะออกไปทางเส้นวิภาวดี โดยอาจจะแวะที่รังสิต หรือออกไปทางอยุธยา ซึ่งจะไปเท่าที่รถ 6 ล้อคันที่พวกเราใช้เดินทางจะสามารถไปถึงได้ สุดท้ายแล้วเราก็ออกไปทางอยุธยา แล้วก็เลยตั้งเป้าหมายไว้ที่อยุธยาปาร์ค โดยระหว่างทางถ้าเจอผู้ประสบภัย อาสาสมัคร หรือใครก็ตามที่ต้องการสิ่งของไปบรรเทาทุกข์ เราก็จะมอบให้ เพราะการไปคราวนี้ เรายึดหลักในการผ่อนทุกข์ให้กับคนทุกคน รวมถึงเพื่อนร่วมทุกข์ของเรา ซึ่งก็คือสุนัข
ตลอดเส้นทางที่ผ่านไป เราจะพบน้ำท่วมเป็นระยะๆ สูงขนาดต้องใช้เรือบ้าง หรือบางที่อาจจะพอเดินได้ ก็แล้วแต่สถานการณ์หนักเบาที่เกิดขึ้นกับท้องที่นั้นๆ
ระหว่างทางเราจะเห็นได้ว่า การจัดการบริหารน้ำนั้นมีให้เห็นได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นการเดินทางของเรา จะเห็นได้เลยว่าไม่ขาเข้าก็ขาออกของถนน จะเป็นฝั่งที่น้ำท่วมสูง อีกฝั่งหนึ่งจะพอให้รถวิ่งได้ สลับขาเข้า-ขาออกอยู่เป็นระยะ ซึ่งก็เป็นวิธีการแก้ไขเฉพาะหน้า ที่ยังพอทำให้การจราจรดำเนินต่อไปได้บ้าง ยกเว้นในบางพื้นที่ ที่น้ำท่วมสูงจริงๆ ในกรณีนั้นก็ต้องใช้เรือ หรือยานพาหนะเฉพาะทางเท่านั้นถึงจะเข้าพื้นที่ได้
การเดินทางของเรานั้นได้เห็นสภาพบ้านเมืองที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความสูญเสีย ความสลด และหดหู่ที่เกิดขึ้น เราเห็นสุนัข เพื่อนร่วมชีวิตของเราต้องหิวโซ ซึ่งพอเราลงไปให้อาหารก็กินอย่างชนิดที่ว่าเต็มที่จริงๆ ... คืออดมาแล้วเต็มที่จริงๆ เราได้เห็นกรมทางหลวงพยายามกั้นคันดินระหว่างถนนขาเข้า และขาออกของสายเอเซีย เพื่อที่จะพยายามให้ตรงกลางเป็นคลอง เราได้เห็นทหารกล้าของพวกเรา ที่ต้องยอมเสียสละมาอยู่ในพื้นที่ เพื่อที่จะอำนวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชน ซึ่งเราก็ได้ให้เครื่องดื่มชูกำลังไป ซึ่งดูท่าแล้วพี่น้องทหารของเราน่าจะมีความสุขทีเดียวที่ได้ของชนิดนี้
เราเดินทางมาเรื่อยๆจนมาถึงศาลากลางจังหวัดอยุธยา ซึ่งอยู่บริเวณอยุธยาปาร์ค ที่นี่มีประชาชนที่อพยพมาอยู่มากพอสมควร ดูแล้วเปรียบเสมือนศูนย์กลางความช่วยเหลือของอยุธยา เนื่องจากมีทั้งราชการ และเอกชนคอยให้ความช่วยเหลือ
องค์กรแรกที่เราตัดสินใจฝากของบริจาคส่วนหนึ่งก็คือ “กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์” ซึ่งเป็นหน่วยงานของราชการที่ตั้งอยู่บริเวณกลางสนามหญ้าหน้าศาลากลางจังหวัด โดยหน่วยงานนี้รับปากว่าจะช่วยดูแลของบริจาคให้ไปถึงมือผู้ประสบภัยให้มากที่สุด
องค์กรที่สองเป็นของเอกชน ซึ่งก็เป็นมูลนิธิของทางช่อง 3 ที่ร่วมมือกับอาสาสมัครในพื้นที่ ก่อตั้งขึ้นมาเป็นศูนย์ช่วยผู้ประสบอุทกภัย โดยอาสาสมัครยินดีไปอย่างยิ่งที่พวกเราได้นำของมาบริจาค เนื่องจากว่าสิ่งของต่างๆในเวลานี้ขาดอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่กรุงเทพฯน้ำเริ่มที่จะท่วม จึงทำให้ทางช่อง 3 ต้องกลับไปทำหน้าที่เต็มอัตราบริเวณกรุงเทพฯมากกว่า พอเป็นเช่นนั้นแล้ว สิ่งของต่างๆก็เลยมาไม่ค่อยที่จะถึงอยุธยา อาสาสมัครที่จะลงไปพื้นที่เพื่อส่งสิ่งของให้ผู้ประสบภัยมี แต่ของที่จะส่งให้ผู้ประสบภัยนั้นไม่มี ผมเห็นพี่อาสาสมัครพูดจากับเราด้วยจิตใจไมตรีที่ดี ก็เลยถามข้อสงสัยที่คนส่วนใหญ่อยากจะทราบก็คือ การบริจาคให้ราชการ กับบริจากให้เอกชนนั้น ต่างกันอย่างไร ซึ่งพี่อาสาสมัครก็เลยอธิบายให้ฟังจนกระจ่าง
...การบริจาคสิ่งของไปที่หน่วยงานของราชการนั้น หน่วยงานของราชการจะนำสิ่งของต่างๆไปจัดเตรียม และมอบให้ผู้ที่ประสบอุทกภัยเหมือนกับทางเอกชน แต่ที่ต่างกัน คือทางราชการจะแจกข้าวของตามทะเบียนบ้าน แต่เอกชนจะแจกหมดทุกคน...
ซึ่งหากเรามาวิเคราะห์กันแล้ว ทางราชการนั้น เวลามีภารกิจหรือทำงานอะไรก็ตาม จะต้องมีลายลักษณ์อักษร มีเอกสารยืนยัน มีการตรวจสอบที่ชัดเจน ดังนั้นการบริจาคจึงบริจาคตามทะเบียนบ้าน เพื่อความถูกต้องตามระบบของราชการ ปัญหาก็คือ ผู้ที่อยู่หอพักก็จะไม่ได้สิ่งของเหล่านี้ เพราะไม่มีทะเบียนบ้าน จึงเป็นปัญหาของทางราชการ
ส่วนทางเอกชนนั้น การแจกข้าวของจะเป็นไปในลักษณะของการช่วยทุกคน ซึ่งปัญหาก็อาจจะเกิดได้หากอาสาสมัครที่ทำหน้าที่ ณ จุดนั้นไม่ได้ทำงานเป็นระบบ อาจจะทำให้ข้าวของไม่กระจายเท่าที่ควรก็เป็นได้
ดังนั้น การที่เราบริจาคข้าวของให้ทางราชการส่วนหนึ่ง ให้เอกชนส่วนหนึ่ง น่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว
อาสาสมัครยังได้แนะเราว่า หากต้องการลงพื้นที่ให้ไปเห็นจริง สามารถไปได้ ซึ่งถ้าพวกเรามาเร็วหน่อย อาสาสมัครอาจจะพาพวกเราลงไปดูพื้นที่ ที่เข้าถึงได้ลำบาก เพื่อให้เห็นความทุกข์ยากของชาวบ้านจริงๆ แต่ผมก็ได้บอกว่ามันอาจจะเป็นการลำบากโดยใช่เหตุก็ได้ แทนที่จะมาช่วย อาจจะทำให้มันยิ่งวุ่นวายมากขึ้นก็ได้ แต่อาสาสมัครยังยืนยันว่า หากมาคราวหน้า อยากให้ลงพื้นที่ไปดูจริงๆ จะได้เห็นว่ามันเป็นอย่างไร ซึ่งฟังจากน้ำเสียงแล้ว อาสาสมัครก็น่าจะอยากให้พวกเราลงพื้นที่ไปจริงๆ
หลังจากเสร็จสิ้นจากจุดนี้ เราก็เดินทางกลับ โดยตั้งเป้าหมายว่าจะมอบข้าวเหนียว และหมูย่างให้กับผู้ประสบภัยที่มาอาศัยถนนสายเอเซียเป็นบ้านชั่วคราว ซึ่งพอเราผ่านพื้นที่ ที่มีคนมาอาศัยอยู่อย่างมากมายนั้น พวกเราก็ไปมอบอาหาร มอบกล่องยังชีพส่วนหนึ่งให้กับชาวบ้านที่อยู่ ณ ตรงนั้น ซึ่งชาวบ้านก็ยินดีเป็นอย่างมาก อวยพรให้เราซะเป็นการใหญ่ ขอบคุณพวกเรา ทำให้พวกเราซึ้งไปตามๆกัน
ผ่านจากชาวบ้านมา เราก็มุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯอย่างจริงจัง โดยหวังว่าจะไปช่วยผู้ประสบภัยท่านหนึ่ง ซึ่งติดอยู่ที่งานก่อสร้างของเพื่อนเราคนหนึ่งที่เดินทางไปในครั้งนี้ด้วย แต่สุดท้ายแล้วเราก็เข้าไปไม่ได้ เนื่องจากระดับน้ำสูงเกินไปบริเวณร้านอาหารปราสาททอง จึงทำให้ต้องยกเลิกภารกิจนี้ไป
จากนั้นเราก็ขึ้นโทลล์เวย์ และไปจอดอยู่บนโทลล์เวย์เพื่อรอให้ทางอาสาสมัครอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งทำหน้าที่อยู่บริเวณฟิวเจอร์ปาร์คขับรถขึ้นมาขนของอีกส่วนหนึ่งลงไป เนื่องจากรถ 6 ล้อของพวกเราลงไปในพื้นที่ลำบาก ผมมองลงไปบริเวณหน้าโรงหนังเมเจอร์รังสิต มองเห็นน้ำท่วมมาถึงครึ่งป้ายรถเมล์ ซึ่งถือว่าสูงมาก ผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณนี้น่าจะหนักหนาสาหัสทีเดียว
หลังจากขนของกันเสร็จ เราก็มุ่งหน้ากลับบ้าน โดยยังเหลือสิ่งของที่จะนำไปบริจาคอีกนิดหน่อย รวมถึงเงินอีกบางส่วน เพื่อเตรียมใช้เป็นกองกลางเริ่มต้นสำหรับภารกิจต่อไป
ผมกล่าวประโยคที่คุณตาพูดไว้ในข้างต้นของบทความ ผมกล่าวคำนั้นเพราะมันเป็นคำพูดที่ออกมาจากความรู้สึกของคุณตาจริงๆ มันเป็นคำพูดของคนที่บอกผมว่าอาหารเช้าไม่ต้องพูดถึง อาหารกลางวันต้องวิ่งแย่งกัน และไม่กล่าวถึงอาหารเย็น ... มันเป็นคำพูดของคนที่ประสบภัย มันเป็นคำพูดของคนที่มีนัยน์ตาวาวจากน้ำใสๆที่กลอกอยู่ตลอดขณะพูด มันเป็นคำพูดของคนที่กำลังประสบอยู่กับความทุกข์...
คนไทยทุกคนครับ มันถึงเวลาหรือยังที่คุณต้องทำอะไรสักอย่าง ในบางครั้งผมดูโทรทัศน์ ผมเห็นคนต่างชาติกำลังช่วยคนไทย ... ผมไม่รู้จะพูดอย่างไรครับ
คุณคิดว่าต่อจากนี้ คุณจะทำอะไรสักอย่างเพื่อคนไทยหรือยังครับ
คนไทยที่รักคนไทย
ผู้เขียน
ขอบคุณคะ สัมผัสได้ถึงความรับรู้ทุกข์สุขของสังคม และวิเคราะห์ได้อย่างน่าคิด
".. ทางราชการนั้น เวลามีภารกิจหรือทำงานอะไรก็ตาม จะต้องมีลายลักษณ์อักษร มีเอกสารยืนยัน มีการตรวจสอบที่ชัดเจน ดังนั้นการบริจาคจึงบริจาคตามทะเบียนบ้าน เพื่อความถูกต้องตามระบบของราชการ ปัญหาก็คือ ผู้ที่อยู่หอพักก็จะไม่ได้สิ่งของเหล่านี้ เพราะไม่มีทะเบียนบ้าน จึงเป็นปัญหาของทางราชการ"
ไม่เพียงแต่ประเทศเราเท่านั้นคะ
การแก้ปัญหาโดยส่วนกลาง นั้นมักไม่ยืดหยุ่น ต้องใช้เวลากว่าจะปรับเข้ากับพื้นที่ซึ่งมีความแตกต่างทางภูมิประเทศ
ลักษณะประชากร..หากเราเข้าใจจุดนี้
แทนที่จะหวัง (มักผิดหวัง) ความช่วยเหลือจากภาครัฐ ชุมชนน่าจะต่างคนต่างช่วยกันในยามคับขันคะ
ขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง จากใจ คนอยุธยา