เมื่อปีก่อน (2553) ฉันบอกตัวเองว่า
"ทะเลเพลิง" ที่เผาเมือง...ทำให้ความคิดฉันไม่เหมือนเดิม
แต่ปีนี้ (2554) ...มหาอุทกภัย...ทำให้ความคิดฉันเปลี่ยนไปอีกแล้ว
เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ล้วนก่อให้เกิดการเรียนรู้
ก่อให้เกิด "ความรู้" และ "ความเข้าใจ" ทั้งตนเองและคนอื่นๆ
หลังจากจัดการกับบ้านที่อยู่ให้อยู่ในสภาพพร้อมรับมือ
ฉันจึงมี "สติ" ใคร่ครวญว่า...ฉันได้เรียนรู้อะไรบ้าง
ฉันได้รู้ว่า...หมู่บ้านที่มาอยู่...อยู่นอกแนวคันกั้นน้ำ กทม.
อ้อ!...ตอนซื้อไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยนะ
ฉันได้รู้ว่า...สส.ในพื้นที่หน้าตาจริงๆ เป็นอย่างไร
เพราะ...เขาตระเวณรถตะโกนบอกให้เราช่วยตัวเองไปก่อน
แล้วถามว่า "สนใจยาทาแก้น้ำกัดเท้าไหม??"...สส.ทำได้แค่นี้เอง
ฉันได้ลองทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยทำเลย(จริงๆ)
เช่น
...ได้ตัก ถูก ลาก แบก วาง กระสอบทราย...โอ้โฮ! หนักเอาการ...
แล้วรู้ด้วยว่าเวลาน้ำท่วม ทรายกระสอบเล็กๆ ราคาแพงถึง 30-45 บาทเชียว
...ได้รู้ว่ารองเท้าบูทคู่ละ 100 บาท แต่พอวันรุ่งขึ้นเป็น 130 บาททันที...
อัตราเงินเฟ้อยามน้ำท่วม...สูงถึง 30%
...ได้รู้จักเพื่อนบ้านในหมู่บ้านเพิ่มขึ้น เพราะได้ช่วยกันขนกระสอบทราย
มาป้องกันหมู่บ้านร่วมกัน...จนเราต่างพูดกันว่า "ถ้าน้ำไม่ท่วมก็ไม่รู้จักกัน"
...เช่นเดียวกันเราก็ได้รู้ด้วยว่า...ใครใจจืดใจดำ ไม่ร่วมมือกันป้องกันส่วนรวม
ภาพนี้ช่วยเพื่อนบ้านวางกระสอบทรายยามค่ำคืน
หลังจากเขาก็มาช่วยเราวางกระสอบทรายหน้าบ้านเช่นกัน
...พอรถส่วนตัวใช้ไม่ได้ ก็เลยได้ขึ้นรถสาธารณะ...ที่ว่างเว้นไปนาน
ก็เลยรู้ว่า รถตู้ค่าเดินทาง 10-20 บาท แต่ต้องขึ้นหลายทอดหน่อย
แต่ TAXI ถึงบ้าน ปาเข้าไปเกือบ 200 บาท แพงน่าดู
...ได้ขึ้น AIRPORT LINK เป็นครั้งแรก...ค่าเดินทางเที่ยวละ 30 บาท
ราคาไม่แพง แต่การเดินทางลำบาก เพราะจุดขึ้น-ลงห่างไกล
ต้องเดิน หรือไม่ก็ต้องใช้ TAXI ต่อเพื่อเข้าถึงที่หมาย
...สิ่งที่พึ่งได้มากที่สุด คือ "สองเท้า" ของเราเอง ที่จะพาไปที่ต่างๆ
ขยันเดินมากขึ้น...ทำให้รู้ว่า เราจะต้องฝึกตัวเองให้แข็งแรงเข้าไว้
นอกจากเราจะมี "กระสอบทราย" เป็นเฟอร์นิเจอร์ใหม่ของบ้านแล้ว
เรายังได้รู้จัก "ไดโว่" เครื่องสูบน้ำประสิทธิภาพสูง เรียนรู้ไว้ว่า
ถ้าน้ำเข้าถึงชั้นในของบ้านจะสูบออกอย่างไร...ของใหม่จริงๆ
กว่าจะได้มา...ราคา 3000 กว่าบาทจ๊ะ (แต่ถ้าไฟฟ้าดับ ก็ใช้ไม่ได้จ้า)
...แล้วเราก็ได้ตรวจสอบจุดเปิด-ปิดไฟ คัทเอาท์ไฟ ทั่วบ้าน
ว่าต้องตัดไฟจุดไหนบ้าง แล้วถ้าต้องทิ้งบ้านจะต้องสับคัทเอาท์ก่อนไป
...ได้สำรวจจุดน้ำทิ้ง และจุดน้ำล้นต่างๆ ภายในบ้าน
เผื่อว่า "น้ำผุดขึ้นมา" เราจะต้องเอากระสอบทรายไปปิดอย่างไร
อ้อ! ได้เคลียร์ขยะในบ้านออกอีกด้วย ตอนยกของขึ้นชั้นบน
พบว่าสิ่งของไม่ได้ใช้เยอะเลย...โละได้โขเชียว
แปลกไหม...บ้านฉันน้ำท่วมก่อน...แต่ตอนนี้น้ำลดลงแล้ว
เตรียมตัวพร้อมรับน้ำก้อนใหญ่...ที่เขาว่าจะผันมาทางนี้
ก็เลยรู้ว่า...อ้อ..แถวนี้เขาเรียกว่าฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ
ถ้าน้ำมาทางนี้ต้องลงคลองแสนแสบ ไปออกบางปะกงจ๊ะ
(ฟังจากสื่อ...จนเสีย self)
อีกอย่างที่ฉันเรียนรู้อย่างมาก...จากการรับข่าวสารข้อมูล
ที่อื้ออึงตลอดทั้งวันทั้งคืน...ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย
ทำให้รู้ว่า...บ้านเมืองเรามีคนรู้มากเหลือเกิน...แต่....ไม่มีคนทำ
คนพูดเก่ง เต็มบ้านเต็มเมือง...แต่ คนทำเก่ง...มองไม่เห็น หาไม่เจอ
สื่อ..ทำให้คนดังก็ได้ ทำให้คนดับก็ได้..เช่นกัน
การรับข่าวสารต้องมีสติ...อย่าตื่นตระหนก..อย่าเชื่อทั้งหมด
แต่ก็อย่าวางใจ...
รอวันเวลาให้ประเทศไทย...ผ่านก้าวสำคัญนี้ไปให้ได้
ประสบการณ์เป็นการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดของมนุษย์
แต่จะน่าเสียดาย ถ้าเราไม่เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ใช้วิกฤติให้เป็นโอกาสแห่งการเรียนรู้...จะมีคุณค่าเสมอ.
นับเป็นบทเรียนรู้ที่่ดี เสริมความเข้มแข็งในการระวังภ้ยธรรมชาติที่นับวันจะรุนแรงยิ่งขึ้นทุกที หากคนเรายังไม่สร้างจิตสำนึกในการปรับสู่ความสมดุลของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนะคะ
ได้รู้ ได้เรียนเยอะมาก อยากบอกแบบท่านผู้มีเกียรติ (สส)ว่า ท่านช่วยตัวเองแล้ว
ที่นี้ถ้าทำอย่างนี้ พอเลือกตั้งสมัยหน้า ก็ไม่มีใครเลือกลงคะแนนให้อีกแล้วครับ
สวัสดีปีใหม่ค่ะ
สิ่งดีๆ ในวิกฤติ หวังว่าคงผ่านมันไปได้ด้วยดี
ส่วนเรื่องการมุง การเมือง เนี่ย ทำใจเลยค่ะ :)
ไม่รู้จะออกหัวก้อยอย่างไร รอสมัยหน้าคงช้าไป
แล้วเมือ่ไหร่ เดี๋ยวก็ คนไทยเจ็บแล้วมิเคยจำ
.. ชวนออกนอกเรื่อง เครียดอีกแล้ว แต่มิเครียดนะคะ
ยังไงก็ขอให้มีความสุข กำลังใจนะคะ เสมอ เช่นเคย :)
สวัสดีค่ะ สบายดีไหมคะ หายเงียบไปนานมากๆ
มาส่งความคิดถึง เพิ่งผ่าน วันน้ำโลก พอดีเลยค่ะ