น้ำท่วม ตอน สามีโดนเหล็กแทงจากการไปขนยารพ.สปร.


   

    เช้าวันนั้นก่อนเกิดเหตุก็ไปทำงานตามปกติ   ชเ้ากำลังไปช่วยงานที่ NICU ก็มีโทรศัพท์เรียกประชุมเรื่องการจัดสรรเจ้าหน้าที่พยาบาลที่ OPD ให้ไปช่วยยังจุดต่างๆ ก็ประชุมไปหงุดหงิดไป ด้วยความรู้สึกที่ว่า..ทำไมต้องประชุม  เรื่องแบบนี้ควรจะรู้ด้วยตัวเอง แล้วก็เดินเข้าไปช่วยเลย...ก็นั่งประชุมไป แต่ใจก็นึกห่วงพวกตัวเล็กๆ ในตู้อบอยู่ เพราะว่าต้องแทงเส้นให้น้ำเกลือใหม่ ต้องให้นม ต้องเจาะเลือด อีกสะเปะสะปะ หลายอย่าง  เหมือนเสียเวลาประชุม...(ซึ่งมานึกย้อนหลังก็  จะหงุดหงิดทำไม??) 

     พอบ่ายกินข้าวเสร็จก็เข้าไปช่วยต่อ กำลังวุ่นวายกันเชียว  ก็เลยไปฉีดยาให้ แล้วก็ ให้นม เสร็จก็ประมาณบ่ายสอง ...กำลังล้างแก้วนม  ก็มีน้องวิ่งไปบอกว่า "พี่่กบ พี่พงษ์เกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่ที่ ER"      อารมณ์ตอนนั้นก็นิ่งๆ นะ นึกอยู่ว่าอุบัติเหตุอะไร?...แต่ก็คิดว่าคงไม่รุนแรงอะไรมาก เพราะไม่งั้นคงไม่อยู่ที่ ER ก็ยังยืนล้างแก้วนมต่อ น้องก็เลยเตือนอีกรอบว่า "พี่กบไปเลย ไม่ต้องล้างแล้ว "  ก็เลยเดินออกมากะว่าจะไป ER ที่รพ.เราเอง   พอเดินไปถึงหน้าตึก NICU หมอไหว ก็ตะโกนเรียกว่า "พี่กบ เดี๋ยวไหวไปส่ง"  เราถึงอ้าว ! ไม่ได้อยู่ที่ ER เราเหรอ ...หมอไหวก็เลยบอกว่าอยู่ที่รพ.ค่าย (มาแอบบอกที่หลังว่า กำลังเตรียมกันกับสาวๆ NICU ว่าจะบอกอย่างไรไม่ให้เราตกใจ แต่เผอิญน้องจุ๋มไม่รู้อิโน่อิเน่เดินเข้าไปบอกเลย ...) 

     ก็กำลังขับมาถึงหน้ารพ.ก็เจอกับรถ emergency ของศูนย์ฯอยู่หน้ารพ.พอดี ก็เดาว่าใช่คันนี้แน่นอนเลย ก็ขับตามไป  ภาพแรกที่เห็นก็คือ สามีเราตัวเปียกทั้งตัว หน้าซีด ปากซีด แต่ยังนั่งมาคุยกันได้  ก็โอเค  ก็เลยสอบถามกัน " ไปเอายาและเวชภัณฑ์ของรพ.สวรรค์ประชารักษ์ที่น้ำท่วมเพื่อเอามาใช้ที่รพ.แม่และเด็กและรพ.ค่ายจิรประวัติที่อยู่ฝั่งน้ำไม่ท่วม พอเห็นเรือขนส่งจากรพ.สปร.มาถึงก็เลยกระโดดลงจากรถไปเตรียมพร้อมจะขนเปลี่ยนถ่ายของ ปรากฏว่าพอกระโดดลงไป ก็ล้มเซ แล้วค้างอยู่ท่าเดิมดึงขาขึ้นมาไม่ได้ เลยคลำๆไปที่เข่าที่อยู่ใต้น้ำ เลยรู้เลยว่าโดนเหล็กแทงเข้าที่เข่าซะแล้ว"  งานนี้ทีมกู้ภัยก็เข้ามาช่วยแต่เผอิญไม่มีอุปกรณ์ตัดเหล็ก  ก็โทรประสานมารพ.ขออุปกรณ์ตัดเหล็ก ทีนี้พอทราบข่าว รถรพ.ก็ขับด่วนไปทันที โดยพี่ท่านก็ลืมนึกว่าต้องพาพยาบาลกับหมอไปด้วย ไปกันเอง  แต่เนื่องด้วยวันนั้นวิกฤติของนครสวรรค์น้ำท่วมอย่างหนัก ก็เลยมีรถติดอย่างแรงเหมือนกัน การเดินทางเลยใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะช่วยขึ้นจากน้ำได้  

   พอหมอดูแผลก็ให้ x-ray ก็ไม่พบเหล็กค้างในแผลแล้ว แผลก็ไม่มีเลือดออก เป็นรูธรรมดา 1 รู บวกกับอาการคนไข้ที่ดูเหมือนดี ก็ให้ทำแผลแล้วก็ให้ยากินมา คนไข้ก็เห็นว่ารพ.ค่ายยุ่งมากแล้ว ก็เลยขอกลับมาทำแผลที่รพ.แม่และเด็กของเราเอง  พอมาถึงป้าเตือนที่ ER ก็จับล้างแผลใช้ syringe ฉีดล้างไปตามรูแผล ปรากฏว่าน้ำเกลือบางส่วนเข้าไปแล้วไม่ออกมา แล้วเจอสิ่งสกปรกพอสมควรเชียว ก็ล้างกันประมาณครึ่งชั่วโมง ผอ.ศูนย์ฯ ท่านได้ข่าวก็ปลีกตัวแวะมาเยี่ยม เพราะจริงๆ วันนั้นผอ.มีภาระกิจร่วมกับท่านรองต่างๆจากกรมฯมาตรวจเยี่ยมพอดี  แล้วก็มีหมอไหว หมอกนก และพี่ๆ fancup อีกหลายคนมาเยี่ยมอาการที่ห้อง ER กันคับคั่ง ก็หลังจากประเมินสภาพบาดแผลแล้ว ก็เลยปรับการรักษาใหม่ เปลี่ยนเป็นยาฉีด cloxa ทุก 8 ชั่วโมง ฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก 

   ก็ตามเคยกลับไปนอนให้ยาที่บ้าน เพราะมีพยาบาลประจำตัว ก็ตั้งปลุกฉีดยากันพอยาฉีด dose ที่สองตอน 5 ทุ่มครึ่งปรากฏว่าอาการเริ่มสำแดง...ไข้ขึ้น คลื่นไส้ เหงื่อออกทั้งตัว คนไข้คิดว่าตัวเองแพ้ยา ก็เลยให้หยุดยา  เราก็ถามว่ากลับไปให้หมอดูอาการมั้ย ...คุณคนไข้บอกว่า "เกรงใจ เพราะเดี๋ยวหมอก็จะออกเวรแล้ว" (คือช่วงวิกฤติน้ำท่วม รพ.เราเปิด OPD นอกเวลาถึง เที่ยงคืน) ก็รอได้ถึงเช้า

 

  เช้ามาพี่ประยงค์หัวหน้าเภสัชก็ประสานคุณหมอกนกให้มาดูแต่เช้า พอเปิดแผล หมอบอกไปรพ.ค่ายเถอะ ดูแล้วน่าจะเยอะกว่าที่เห็น ป้าเตือนก็ต่อสายหมอเบริ์ด ที่รพ.ค่าย ก็ไปรพ.ค่ายกัน คุณหมอก็บอกให้เตรียม set OR เลย แต่เผอิญกินขนมไปชิ้นนึงตอนเช้าก็เลยรอเข้า OR ตอนบ่ายสอง เลยขาดช่วงยา antibiotic อีกนาน 3 ชั่วโมงกลับออกมาจากห้อง OR ก็เจอสภาพ สั่นทั้งตัว ไข้ขึ้นสูงปรี๊ด 40.5 เช็ดตัวผ้าจากเย็นๆ กลายเป็นร้อนวูบๆ ก็ประมาณ ครึ่งชั่วโมงถึงสภาพดีขึ้น  แต่พอหมดฤทธิ์ยาก็ปวดแผลมาก หมอก็ให้ petidine ทุก 4 ชั่วโมงไว้เลย  ก็นอนรพ.กันในห้องรวมที่ห้องกายภาพที่รพ.ค่ายประยุกต์เป็นห้องผู้ป่วยสำหรับให้ทีมรพ.สปร.ดูแล  เตียงก็เลยเป็นเตียงสนามของทหาร  ญาติอย่างเราและบุตรก็เลยคลานเข้าออกนอนใต้เตียงกัน  ดีแต่ว่า 2 วันแรกคนไข้ใส่สายสวนปัสสาวะก็ไม่ต้องดูแลเรื่องนี้ แล้วพอวันรุ่งขึ้นต้อง off สายแล้วก็เลยเตรียมอุปกรณ์ประยุกต์ใส่ฉี่แทน เพราะ urinal ของรพ.ไม่พอใช้ค่ะ ก็ใช้ขวดน้ำดื่มใบใหญ่ตัดคอขวดแทน    พอวันที่ 3 หลังผ่าตัดหมอก็ถอดสาย drain จากแผลออก ปิดแผลมาให้ก็ให้กลับบ้านมาฉีดยาต่อที่รพ.แม่และเด็ก อีก 5 วัน ...ลูกก็เลยมีหน้าที่ตั้งปลุก แม่ลงมา drip ยาให้พ่อทุก 8 ชั่วโมง (01.30-09.30-17.30) 

 

   งานนี้เลยหยุดลางานกันยาวเลย   ก็ชีวิตยังไม่หมดแค่นี้ คุณหมอให้กินยาต่ออีก 1 เดือน เพราะแผลรุนแรงมาก ผ่าไปเจอหนอง เจอเศษผ้า และเศษสกปรกในแผลเยอะมาก แล้วเกิดอาการเร็วมาก  ก็เลยต้องกินยากันต่อไป เชื้อก่อตาย แต่ normal flora ก็เริ่มตายเหมือนกันคุณสามีเลยเริ่มเป็นสารพัดอย่าง...มีเชื้อราบ้าง  วันนี้เป็นหัดอีกหลังจากไปทำงานมา 2 วัน (เบื่อบ้านแล้ว เลยขอไปทำงานแบบกระแผกๆ)  ก็ประคองอาการกันต่อไปอีก 1 เดือน

หมายเลขบันทึก: 466436เขียนเมื่อ 28 ตุลาคม 2011 10:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 00:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

ขอบคุณคะ เป็นเรื่องเตือนใจให้ระวังอุบัติเหตุจากของแหลมคมใต้น้ำ และให้ความรู้การดูแลแผลด้วย

ขอให้แผลหายไวๆ นะคะ

  • คุณป.ค่ะก็ได้ข้อคิดมาเตือนกันว่า "อย่ารีบร้อนชีวิตต้องรอบคอบมากกว่านี้"

มาให้กำลังใจค่ะ..ขอให้ฟื้นตัวเร็วๆนะคะ..

  • ตอนแรกเห็นภาพแผลแล้วก็น่าหวาดเสียว เหมือนตัวตะขาบเลยค่ะ
  • ถ้านับไปเกิดเหตุเมื่อ 12 ตุลา ผ่าตัด 13 ฉีดยาครบ 22 กินยาต่อมาเรื่อยๆ เริ่มมีคันตามตัวเพราะโดนเชื้อฉวยโอกาสบุกเมื่อ 23 เปิดแผลเมื่อ 25 หมอให้กินยาต่ออีก 1 เดือน ไปทำงาน 26 รัฐบาลประกาศหยุด 27-31 แต่ที่รพ. 27 ยังให้ไปทำงานต่อ แล้ววันนี้ 28 เป็นหัดต้องหยุดงานอีกแล้ว เพราะได้รับส่วนแบ่งจากเพื่อนข้างเตียง
  • ชีวิตก็เป็นเช่นนี้...เดินหน้าต่อไป
  • ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท