เฉลิมลาภ ทองอาจ
โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ฝ่ายมัธยม
คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แนวคิดเรื่องการพัฒนาทักษะการจำ
ดูเสมือนว่าจะถูกหลงลืมไปจากระบบการเรียนการสอนภาษาไทยในระยะหลังมานี้
ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรนัก
เพราะปัจจุบันทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มสร้างความรู้
(constructivist theory of learning)
และแนวคิดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (child-centered
approach)
ได้เข้ามามีบทบาทในการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งก็เป็นสาเหตุให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปว่า
ในการเรียนการสอนต้องห้ามนัำกเรียนจำ ทั้งที่จริงๆ แล้ว
"การเรียนด้วยการท่องจำ" กับ "การเรียนด้วยการฝึกจำ"
เป็นคนละเรื่องกัน
อันที่จริงแล้ว แนวคิดการเรียนรู้ด้วยการปฎิบัติ (learning by doing)
เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เราจำเป็นจะต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ถึงเบื้องหลังของกระบวนการเรียนรู้
โดยใช้มิติพุทธิปัญญา (cognitivism paradigm) เสียก่อนว่า
การที่ผู้เรียนลงมือปฎิบัติอะไรก็ตาม
เพื่อจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างปัญญา (schema)
อันเป็นกระบวนการภายในเพื่อตอบสนองต่อข้อมูลใหม่นั้น
ที่จริงแล้วต้องอาศัยความรู้เดิม (prior knowledge)
ในหน่วยความทรงจำระยะยาวของผู้เรียนเป็นพื้นฐาน
ก็ความรู้เดิมที่ผู้เรียนมีนี้เอง ถ้ามีมาก
ก็เรียกว่า “จำได้มาก” และเช่นเดียวกัน ถ้าความรู้เดิมมีน้อย
เราก็อาจเรียกว่า “จำได้น้อย” ด้วยเหตุนี้
เราจึงปฎิเสธไม่ได้ว่า
การพัฒนาให้ผู้เรียนมีทักษะการจำข้อมูลให้ได้มากและคงทน
ย่อมเป็นตัวชี้วัดศักยภาพในการเรียนรู้ของผู้เรียน
กล่าวคือ
หากผู้เรียนไม่สามารถจะจดจำสิ่งที่เพิ่งได้เรียน
การเรียนรู้ครั้งใหม่ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ยาก
ก่อนอื่น
ในฐานะที่เป็นเป็นครู เราจะต้องมีความเชื่ออย่างสนิทใจว่าทักษะการจำ
(memory skills) สามารถที่จะพัฒนาได้
ผู้เรียนของเราจะจำได้น้อย ได้มาก ได้ดี ได้ช้า
ย่อมขึ้นอยู่กับกลวิธีและเวลาที่ใช้ในการฝึกหัดจดจำ
ไม่ใช่เป็นเพราะโง่หรือฉลาด หากจะกล่าวให้ชัดเจนขึ้นก็คือ
การจำเป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาได้และไม่ใช่ลักษณะที่ติดตัวบุคคลมาและคงอยู่ในระดับใดระดับหนึ่งไปตลอด
คำว่าการพัฒนาในที่นี้ หมายถึง
การส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้กลวิธีการต่างๆ ในการ “จัดการ”
ข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถเก็บไว้ในหน่วยความทรงจำระยะยาวได้รวดเร็วและคงทน
อุปมาเหมือนการนำเงินฝากเข้าธนาคาร
หากเรานำเงินซึ่งมีทั้งเหรียญและธนบัตรมูลค่าต่างๆ ปนกัน
ไปฝากโดยไม่ได้จำแนกและจัดเรียงให้เป็นหมวดหมู่แล้วไซร้
การให้เจ้าหน้าที่นำเงินเข้าฝากในระบบ
ย่อมต้องอาศัยระยะเวลาในการคัดแยกเงินเป็นอย่างยิ่ง
ข้อมูลที่ไม่ได้จัดการให้ดีจึงไม่ต่างจากเงินที่ไม่ได้จัดเรียงฉะนั้น
การเรียนการสอนภาษาไทยในสาระการเรียนรู้โดยเฉพาะการอ่านและการฟัง
จำเป็นที่จะต้องใช้ทักษะการจำเพื่อการเก็บรวบรวมข้อมูลและการนำข้อมูลที่จำมาใช้ในการดำเนินชีวิต
แต่ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า
ข้อมูลที่ได้รับมาแต่มิได้มีการจัดการให้เป็นระบบย่อมจำได้ยาก ดังนั้น
คำถามที่สำคัญคือ จะทำอย่างไรให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการจัดการข้อมูล
ซึ่งมีเป้าหมายที่สำคัญคือ ทำให้ข้อมูลนั้นมีความหมายหรือจดจำได้
เพราะการจำได้นี้
ย่อมเป็นตัวชี้วัดเกี่ยวกับสัมฤทธิผลในเชิงวิชาการของผู้เรียนด้วย
ดังที่ Bergin และ Bergin (2011)
ได้กล่าวถึงความสำคัญของการจำสรุปได้ว่า
ความสามารถในการจำมีความสัมพันธ์ทางบวกกับผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้
(achievement) หมายความว่า
หากจะเพิ่มผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้
ก็จะต้องเริ่มจากการเพิ่มความสามารถในการจำ
ซึ่งมีหลายกลวิธีด้วยกัน
กลวิธีที่นักวิชาการทั้งสองเสนอแนะ ได้แก่
การช่วยให้ผู้เรียนเชื่อมโยงความรู้
การสอนยุทธศาสตร์การจำ
การเพิ่มอัตราการฝึกจำและการทดสอบผู้เรียน
ครูภาษาไทยสามารถนำกลวิธีดังกล่าวมาใช้เพื่อเพิ่มความสามารถในการจำของผู้เรียน
ในการเรียนรู้สาระการเรียนรู้ภาษาไทยได้ โดยในที่นี้
ผู้เขียนของเรียงร้อยกลวิธีดังกล่าวเสียใหม่
เพื่อให้จำได้ง่ายว่า “เชื่อมโยงของเก่า
เฝ้าใช้วิธีจำ ฝึกซ้ำสม่ำเสมอ
ไม่พลั้งเผลอต้องทดสอบ”
1. เชื่อมโยงของเก่า
การเชื่อมโยงของเก่าในที่นี้
ไม่ได้หมายถึงการให้ผู้เรียนเชื่อมโยงเรื่องที่ได้อ่านได้ฟังกับเรื่องราวในอดีต
แต่หมายถึง การให้ผู้เรียนนำข้อมูลใหม่
ที่ได้รับเข้ามาผ่าน การอ่าน การฟังหรือการดู
มาเชื่อมโยงกับความรู้เดิม (prior
knowledge)
ที่ผู้เรียนมีเกี่ยวกับข้อมูลนั้นอยู่แล้วให้ได้มากที่สุด
ดังนั้น การเชื่อมโยงที่จริงแล้วก็คือ “การจัดการ”
ข้อมูลให้มีความหมายต่อตัวผู้เรียนนั่นเอง
ครูสามารถใช้เทคนิคการถาม เช่น “จากหัวข้อ/เรื่อง....นี้
นักเรียนมีความรู้หรือ
เคยมีประสบการณ์อะไรบ้าง”
หรือ “นักเรียนเคยทราบเกี่ยวกับเรื่อง.....อย่างไร
ช่วยเล่าให้เพื่อนฟังด้วย” เป็นต้น การเชื่อมโยงของเก่า
จึงไม่ใช่การเชื่อมโยงเรื่องเก่า เช่น
การเชื่อมโยงกับเรื่องในประวัติศาสตร์ แต่หมายถึง
การเชื่อมโยงข้อมูลใหม่กับสิ่งที่ผู้เรียน “เคยรู้”
เกี่ยวกับเรื่องนั้น ซึ่งในการจะเชื่อมโยงข้อมูลให้ได้มากหรือได้น้อย
นอกจากจะขึ้นอยู่กับตัวผู้เรียนแล้ว
ก็ยังขึ้นอยู่กับกลวิธีการถามคำถามของครูและ
การนำเสนอข้อมูลใหม่ให้สอดคล้องกับประสบการณ์เดิมของผู้เรียนอีกด้วย
ตัวอย่างในการเรียนการสอนภาษาไทย เช่น
ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ถ้าครูจะต้องสอนนิราศภูเขาทอง
ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับปรัชญาชีวิตที่เกิดขึ้นขณะเดินทาง
ครูอาจให้นักเรียนเล่าความรู้เดิมเกี่ยวกับคำว่า “นิราศ”
แล้วให้นักเรียนเล่าประสบการณ์ของตนเองว่า
มีการเดินทางครั้งใดของผู้เรียนหรือไม่ ที่มีการคิดคำนึงถึงชีวิตตนเอง
หรือระหว่างที่เดินทางไปเยือนสถานที่ต่างๆ
ผู้เรียนเคยเกิดความคิดอย่างหนึ่งอย่างใดหรือระลึกถึงใครบ้างหรือไม่
อย่างไร เป็นต้น การฝึกให้ผู้เรียนเชื่อมโยงเช่นนี้
ย่อมทำให้ผู้เรียนสามารถจัดการข้อมูลใหม่ให้เป็นระบบ
และจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลที่มีลักษณะใกล้เคียงกันได้สะดวกยิ่งขึ้น
2. เฝ้าใช้วิธีจำ ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า
การจำเป็นสิ่งที่พัฒนาได้
หรือก็คือสามารถที่จะสอนหรือฝึกหัดให้ผู้เรียนเกิดทักษะการจำได้
ซึ่งวิธีการสอนและการฝึกหัดดังกล่าวมีหลายวิธี ดังนั้น
ครูควรสาธิตการใช้วิธีการจำให้ผู้เรียนดูเป็นตัวอย่าง
จากนั้นฝึกหัดให้ผู้เรียนใช้วิธีจำด้วยตนเอง
วิธีจำมีอยู่เป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น
การให้ผู้เรียนพยายามสร้างจินตภาพจากข้อมูล
หรือการจัดข้อมูลที่จะต้องจำให้กลายเป็นภาพ เช่น ให้ผู้เรียนวาดภาพ
สร้างแผนผัง แผนภูมิหรือใช้สัญลักษณ์ต่างๆ
ที่ผู้เรียนเข้าใจความหมายแทนข้อมูลนั้น
การบอกให้ผู้เรียนสังเกตข้อมูลที่จะต้องจำเช่น “ตรงนี้ต้องจำ”
หรือ “ตรงนี้ห้ามลืม”
แล้วให้ผู้เรียนทำสัญลักษณ์หรือทำเครื่องหมายช่วยจำตรงบริเวณข้อมูลที่สำคัญ
การใช้คำถามหรือกิจกรรมทบทวนก่อนให้ข้อมูลใหม่ เช่น
“เมื่อชั่วโมงที่แล้ว
ครูได้พูดถึงเรื่อง...ใครจำได้บ้างว่า.......
เป็นอย่างไร เพราะเหตุใด”
การกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดเกี่ยวกับกลวิธีการที่พวกเขาสามารถที่จะใช้ในการจำ
เช่น “ถ้านักเรียนจะต้องจำข้อมูลตรงนี้
จะมีวิธีจำอย่างไร” หรือ “ข้อมูลตรงนี้มีความสำคัญ
นักเรียนลองเสนอวิธีการจำที่ง่ายและเร็วที่สุดมาคนละหนึ่งวิธี”
เป็นต้น การใช้เทคนิคการขยายความคิด (elaboration)
หรือการขยายข้อมูลให้มาเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิม เช่น คำซ้อน
เหมือนกับคู่แฝด ที่มีลักษณะเหมือนกัน (ในด้านความหมาย) เป็นต้น
หรือการใช้เทคนิครัสพจน์ (acronym)
หรือคำย่ออักษรตัวแรกของข้อความหรือประโยค ตัวอย่างการใช้รัสพจน์ เช่น
การจำชื่อทะเลสาปใหญ่ทั้ง 5 แห่ง ด้วยการจำว่า “HOMES”
ซึ่งอักษรแต่ละตัวแทนชื่อทะเลสาบ ได้แก่ Huron Ontario Michigan Erie และ Superior
สำหรับเทคนิคนี้อาจนำมาปรับเพื่อใช้ในการจำข้อมูลในรายวิชาภาษาไทย
เช่น การจำชื่อชนิดคำสรรพนามทั้ง 6 ชนิด
ตามแนวคิดของพระยาอุปกิตศิลปสาร อาจให้ผู้เรียนจำว่า
“บุรุษนิยม อนิยมปฤฉา วิภาคประพันธ์”
หรือการจำชื่อตำแหน่งพระมเหสีในวรรณคดีเรื่องอิเหนา
ครูอาจให้นักเรียนจำว่า “ประมะเด
มะลิเหมา” ซึ่งมาจาก
ประไหมสุหรี
มะเดหวี
มะโต ลิกู และ
เหมาหลาหงี
เป็นต้น อย่างไรก็ตาม
ครูควรให้นักเรียนเป็นผู้ผูกคำย่อต่างๆ ในลักษณะเช่นนี้ขึ้นเอง
เพราะผู้เรียนแต่ละคนอาจมีวิธีการเชื่อมโยงคำไม่เหมือนกัน
ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ส่วนตัวของพวกเขา
ซึ่งการย่อคำด้วยตนเองจะช่วยให้ผู้เรียนจดจำ
คำได้รวดเร็วและคงทนยิ่งขึ้น
3. ฝึกซ้ำสม่ำเสมอ
การจำเป็นความสามารถที่สามารถลดระดับลงได้หากไม่มีการทบทวน
ดังนั้น ครูจะต้องฝึกให้ผู้เรียนได้ทบทวนความทรงจำของตนอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อป้องกันมิให้ลืมข้อมูลต่างๆ ได้ง่าย มีการวิจัยพบว่า
หากจะฝึกหัดให้ผู้เรียนจำข้อมูลได้หรือไม่ลืมข้อมูลในระยะเวลา
1 เดือน
จะต้องฝึกหัดหรือมีกิจกรรมให้ผู้เรียนฝึกจำอย่างน้อยทุกๆ
สัปดาห์ และหากจะฝึกหัดให้จำข้อมูลใดๆ ได้ปีหนึ่งโดยไม่ลืม
จะต้องมีกิจกรรมทบทวนอย่างน้อยทุกๆ 3-4 สัปดาห์ เป็นต้น
สำหรับในรายวิชาภาษาไทย หลังจากที่ผู้เรียนจำข้อมูลได้แล้วในเบื้องต้น
ครูควรเน้นย้ำหรือให้ผู้เรียนทบทวนข้อมูลนั้นอย่างสม่ำเสมอ เช่น
ในการท่องจำบทอาขยาน
ซึ่งอย่างน้อยผู้เรียนจะต้องจำข้อมูลบทอาขยานได้ประมาณ 1 เดือน
ครูอาจให้นักเรียนทุกคนในห้องทบทวนด้วยการท่องอาขยานพร้อมกันในห้องทุกสุดสัปดาห์ในเดือนนั้น
แล้วในเดือนต่อมาจึงกำหนดวันทดสอบการท่องอาขยาน
หรือในการท่องจำชนิดของคำในภาษาไทยทั้ง 7 ชนิด
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ตามแนวคิดของพระยาอุปกิตศิลปสาร
ครูอาจมีกิจกรรมทบทวนเรื่องชนิดของคำในภาษาไทยในทุกๆ
เดือนของปีการศึกษา เป็นต้น ทั้งนี้ครูจะต้องถือหลักว่า
การจำได้เร็วและคงทนต้องอาศัยการ “เน้นย้ำซ้ำทวน” อย่างสม่ำเสมอ
4. ไม่พลั้งเผลอต้องทดสอบ
ผลของการไม่เน้นย้ำซ้ำทวนก็คือ ผู้เรียนจะค่อยๆ ลืมข้อมูลไปในที่สุด
ด้วยเหตุนี้ นอกจากกิจกรรมการทบทวนแล้ว
หากกลัวว่าผู้เรียนจะพลั้งเผลอจนลืมสิ่งที่เรียนแล้วล่ะก็
ครูควรที่จะใช้การทดสอบซึ่งเป็นวิธีการที่ดีกว่าการทบทวนในการเพิ่มความสามารถในการจำ
สังเกตได้จากตัวของเราเอง
เมื่อทราบว่าจะต้องได้รับการทดสอบเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เราก็จะมีความตั้งใจและมีสมาธิเกี่ยวกับสิ่งที่อ่าน
ซึ่งผลที่ตามมาคือ
เราจะสามารถจดจำข้อมูลในเรื่องที่จะออกสอบได้มากยิ่งขึ้น
นักวิจัยด้านความจำได้เสนอแนะให้ครูใช้วิธีการทดสอบผู้เรียนให้บ่อยครั้ง
แต่การทดสอบนั้นมิได้หมายถึงการทดสอบที่ว่ามีเป้าหมายเพื่อการเก็บคะแนนหรือตัดสินว่าผู้เรียนควรได้หรือตก
แต่เป็นการทดสอบความทรงจำของผู้เรียน
เพื่อให้พวกเขาไม่ลืมสิ่งที่ได้เรียนไปด้วยวิธีการทดสอบในรูปแบบที่หลากหลาย
เช่น การถามคำถามทดสอบ การให้ผู้เรียนเล่าหรืออธิบายซ้ำ
เป็นต้น นอกจากนี้ ควรมีการทดสอบในลักษณะสะสม (cumulative tests)
กล่าวคือ
การทดสอบความทรงจำครั้งใหม่ควรครอบคลุมข้อมูลเดิมในการทดสอบครั้งที่แล้ว
เช่น การทดสอบความจำเรื่องประโยคซ้อน
ควรให้ผู้เรียนอธิบายหรือตอบคำถามย้อนไปถึงข้อมูลเรื่องประโยคสามัญ
และคำสรรพนามหรือคำวิเศษณ์เชื่อมข้อความ
ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของประโยคซ้อนด้วย เป็นต้น นอกจากนี้
หลักการใช้วิธีการทดสอบเพื่อเพิ่มความสามารถในการจำยังมีอีกประการหนึ่ง
คือ ครูจะต้องให้ผลป้อนกลับแก่ผู้เรียนทันทีหลังการทดสอบ
สำหรับการทดสอบด้วยข้อสอบอาจใช้วิธีการเฉลยคำตอบ
แต่หากเป็นการทดสอบด้วยการเขียนหรือการพูด
ครูสามารถเฉลยหรือให้ผลป้อนกลับด้วยการบอกตัวอย่างประเด็นความคิดหรือแนวทางที่ควรจะเป็นคำตอบ
เพื่อให้ผู้เรียนได้ทราบหลังการทดสอบว่าสิ่งที่ตนเองจำได้นั้นถูกต้องหรือไม่ถูกต้องเพราะเหตุใด
การ
“เชื่อมโยงของเก่า เฝ้าใช้วิธีจำ
ฝึกซ้ำสม่ำเสมอ ไม่พลั้งเผลอต้องทดสอบ” เป็นกลวิธีง่ายๆ
ที่ครูสามารถฝึกหัดให้ผู้เรียนใช้เพื่อพัฒนาทักษะและความสามารถในการจดจำข้อมูลในการเรียนรายวิชาภาษาไทย
ซึ่งถ้าสังเกตได้ดีแล้วจะพบว่า วิธีการต่างๆ เหล่านี้
ผู้เรียนควรที่จะเป็นผู้ใช้และควบคุมการใช้ด้วยตนเอง
เพราะหากผู้เรียนทราบว่าจะต้องนำข้อมูลใหม่มาพิจารณา
เพื่อเชื่อมโยงกับความรู้เดิมของตน
ทราบว่าจะใช้วิธีการอะไรจดจำข้อมูลนั้นให้รวดเร็ว
ง่ายและสะดวกที่สุด รวมทั้งตระหนักว่า
ตนเองจะต้องหมั่นทบทวนความทรงจำ
ด้วยการตั้งคำถามหรือการทดสอบตนเองอยู่เป็นระยะๆ เช่นนี้แล้ว
ผู้เรียนก็จะมีทักษะการจำเพิ่มสูงขึ้น
และการทำงานของการเก็บและเรียกคืนข้อมูลมาใช้ในกิจการต่างๆ
ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเช่นกัน ในท้ายที่สุดนี้
จงจำไว้ว่า ครูจะต้องให้ผู้เรียนฝึกหัด
“จัดการ” ข้อมูลต่างๆ เสียก่อน พวกเขาจึงจะสามารถ “จดจำ”
ข้อมูลเหล่านั้น แล้วนำใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่าง
“จัดเจน”
ในที่สุด
_____________________________________
การนำส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความนี้
ไปเผยแพร่ด้วยวิธีการใดๆ ควรทำตามหลักจรรยาบรรณ
มาตรฐานทางวิชาการและความเป็นมนุษย์