ถึงหน้าเดือนสิบสองเหนือหรือเดือนสิบใต้ เหล่าบรรดาสายน้ำทั้งหลายต่างพากันไหลหลากท่วมบ้านช่องห้องหอ บ้างก็เสียหายมากน้อยตามระดับน้ำที่ไหลรุนแรงหรือท่วมเป็นเวลานาน
ขณะที่กระแสน้ำไหลหลากมักพาเอาดินโคลนปะปนมาด้วยต่อเวลาเมื่อน้ำแห้งลง ทำให้มีดินโคลนพอกสิ่งที่มันท่วมจนหนาเตอะมีผลดีต่อชาวไร่นาเพราะดินพวกนี้มีคุณค่าอุดมด้วยอาหารของพืช ปลูกพืชผลจะดกดีงาม
ต่อเมื่อกาลเวลาผันผ่าน กระแสน้ำลดระดับในเวลาเดือนเกี๋ยงหรือเดือนเจี๋ยงตรงกับเดือนทางภาคกลางคือเดือนสิบเอ็ด ขณะที่น้ำลดกระแสพร้อมกับสายมลมหนาวเริ่มรำเพยพัดจอยกิ่งไม้ใบหญ้า บรรดาจี้กุ่งหรือจิ้งโกร่ง จิ้งหีดหรือจิ้งหรีดต่างพากันร้องเซ้งแซ่ ระงมไพรยามค่ำคืน เป็นสิ่งบอกเหตุว่าหน้าน้ำนองจะลาจากไปแล้วละเน้อ...
แม้เสียงจ้ิงหรีดกรีดร้องส่งสัญญาณบอกว่าน้ำจะลดแล้วแต่บรรดาผู้คนยังไม่ไว้วางใจว่าน้ำจะลดลาไปจริง เพราะมีบางปีน้ำลดกระแสไปแล้วแต่จู่ๆเมื่อฝนตกหนักน้ำกลับมาไหลนองท่วมไร่นา บ้านเรือนกันอีกเป็นครั้งที่สองที่สามก็มี ต้องรอให้บรรดาผีทั้งหลายพากันมาตากผ้าอ้อมนั่นแหละจะไว้วางใจแน่นอนว่าน้ำจะลดจริงแน่นอนในปีนั้น
หมอกเหมยลอยละอองอั่วอุ้มผิวท้ิองน้ำในยามเช้า หากเราเดินไปตามไร่นาเรือกสวนตามฝั่งน้ำ หรือเกาะกลางแม่น้ำจะเห็นละอองน้ำสีขาวเกาะผืนใยเล็กๆปิดปากรูของแมลงตามพื้นดินบ้าง บางผืนกางอยู่บนยอดหญ้าบ้าง บางผืนใหญ่ราวคืบกว่าๆ บางผืนเล็กเพียงนิ้วเดียว ผืนใยที่มีละอองน้ำเกาะเป็นแผ่นสีขาวนี้เองชาวบ้านเรียกกันว่า "ผีตากผ้าอ้อม"
ต่อเมื่อถึงยามสายแสงอาทิตย์สาดส่องให้ละอองน้ำแห้งเหือดหายไปเหลือเพียงใยแมงมุมที่ทำรังอยู่ตามพื้นดินรอให้มีละอองหมอกเหมยยามกลางคืนกลับมาเกาะตามเส้นใยอีกครั้งก็จะมีผืนผ้าอ้อมของบรรดาผีเอามาออกตากให้เห็นอีกครั้ง
จนกาลเวลาล่วงผ่านเข้าหน้าร้อนบรรดาผีก็จะเก็บผ้าอ้อมไว้ไม่ยอมนำผ้าอ้อมออกมาตากจนกว่าจะถึงยามหนาวปีหน้าเมื่อกระแสน้ำลดระดับอย่างแท้จริงผีทั้งหลายก็จะพากันนำไผ้อ้อมกลับมาตากอีกครั้ง
ผู้คนล้านนาจะใช้ปรากฏการณ์ผีตากผ้าอ้อมเป็นสััญญาณบอกว่าหากมีผีเอาผ้าอ้อมมาตากเมื่อใด เมื่อนั้นแหละกระแสน้ำละระดับอย่างแท้จริง พวกเขาจึงพากันเริ่มลงมือทำสวนปลูกพืชตามริมฝั่งน้ำ ตามเกาะกลางน้ำโดยไม่มีสายน้ำกลับหลากล้นมาท่วมทำให้ทรัพย์สิน พืชผลของพวกเขาเสียหาย
เออผีตากผ้าอ้อมนี่ก็มีประโยชน์ต่อผู้คนเน้อหมู่เฮา...