(๑)
ย้อนกลับไปสู่กิจกรรม “จดหมายจากมหาวิทยาลัยถึงคนไกลที่อยู่ทางบ้าน” กันอีกสักครั้ง
ผมและทีมงานตัดสินใจจัดกิจกรรมดังกล่าวในวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ ด้วยเหตุผลบางประการเช่น วันที่ ๑๒ ตรงกับวันศุกร์ เกรงว่าจัดแล้วจะไม่มีคนเข้าร่วมกิจกรรม เพราะสุ่มเสี่ยงกับการกลับบ้านของนิสิต
ประการถัดมา เจาะจงวันที่ ๑๕ ซึ่งตรงกับวันจันทร์ เพราะมีนิสิตที่เรียนในวิชาพัฒนานิสิตอยู่กลุ่มหนึ่งที่สามารถนำเข้าสู่การเรียนรู้ร่วมกันได้ โดยให้ถือว่ากิจกรรมที่จะมีขึ้นนั้น เป็นการเรียนการสอนในอีกระบบหนึ่ง
(๒)
ก่อนการจัดกิจกรรมครั้งนี้ ผมและทีมงานทำการ “ทบทวน” บทเรียนจากปีที่ผ่านมาร่วมกัน เน้นบรรยากาศการทบทวนแบบ “โสเหล่” หรือสุนทรียะแห่งการสนทนาเป็นที่ตั้ง
หลักๆ เราเห็นภาพสะท้อนเชิงบวกจากปีที่ผ่านมาร่วมกันอย่างชัดเจน เพราะทุกครั้งที่จัดกิจกรรมนี้ ก็จะประสบความสำเร็จทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เรายังคงมุ่งมั่นที่จะเดินทางไปยังบ้านของนิสิตที่ชนะการประกวดเขียน “จดหมายถึงแม่” อย่างเงียบๆ โดยไม่ให้นิสิต หรือแม้แต่ผู้ปกครองของนิสิตได้รับรู้ถึงกระบวนการที่กำลังจะมีขึ้น
การลงพื้นที่เช่นนั้น เป็นการเดินทางไปถ่ายทำสารคดีชีวิต “คุณแม่” ของนิสิต เพื่อสะท้อนภาพชีวิตในแต่ละวันเชื่อมโยงมาสู่การเรียนรู้ร่วมกันในเวทีกลางที่จะมีขึ้นในมหาวิทยาลัย
นอกจากนั้น เราได้ขยายผลการดำเนินงาน โดยการนำจุดเด่นและจุดอ่อนของปีที่แล้วมาสานงานใหม่ เช่น จัดทำหนังสืออ่านเล่นในชื่อ “จดหมายจากมหาวิทยาลัยถึงคนไกลที่อยู่ทางบ้าน” นิทรรศการสำเนาจดหมายทุกฉบับที่ส่งเข้าประกวด, นิทรรศการภาพถ่ายที่เกี่ยวกับแม่, นิทรรศการโปสการ์ด หรือการ์ดอวยพรของนิสิตหอพักและนักเรียนจากโรงเรียนบ้านใคร่นุ่นฯ ที่ทำขึ้นเพื่อบอกรักแม่มาร่วมแสดงอย่างมีสีสัน รวมไปถึงการแสดงดนตรีเพื่อปลูกฝังจิตสำนึกในเรื่อง “ความรัก ความกตัญญู”
ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น ไม่เพียงเสริมสร้างสีสันบนเวทีเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการเกิดเครือข่ายการทำงานที่หลากหลาย ทั้งในมิติหน่วยงาน,ส่วนงาน,องค์กรนิสิต และนิสิตอิสระ หรือแม้แต่นิสิตทั่วไปที่ลงเรียนในวิชาพัฒนานิสิตด้วยเช่นกัน
สิ่งเหล่านี้คือกระบวนการของการมุ่งสร้างเสริมเรื่องคุณธรรม จริยธรรมและอัตลักษณ์ของนิสิตไปแบบเนียนๆ ด้วยการกระตุ้นให้นิสิตได้แสดงความรักความกตัญญูต่อ “แม่” ผ่าน “จดหมาย” โดยอีกนัยหนึ่งก็กระตุ้นให้นิสิตได้เห็นความสำคัญของสื่อสารด้วยภาษาไทย อันเป็นมรดกทางสังคมที่บรรพชนได้รังสรรค์ไว้ให้
(๓)
ก่อนวันงานเพียงไม่ถึง ๓ วัน ทีมงานสามคนลงพื้นที่ในจังหวัดอำนาจเจริญอย่างเร่งด่วน เราไม่มีเงินในระบบราชการติดตัวกันไปสักบาท แต่ก็ใช้กระบวนยุทธ “ใจนำพา ศรัทธานำทาง” ไปก่อน
วันนั้น- ผมจำได้แม่นยำว่าตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๓ สิงหาคม...
บ่ายคล้อยของวันนั้น ผมได้รับโทรศัพท์จากทีมงานว่าตามหาผู้ปกครองของนิสิตที่ชนะการประกวดเขียนจดหมายถึงแม่ยังไม่ได้ (...ลึกๆ ผมทั้งขำและหมั่นไส้ เพราะไม่คิดว่าการตามหาคนจะยากแค้นแสนสาหัสได้ถึงเพียงนั้น...)
แต่พอฟังคำอธิบายจากพวกเขาก็พอเข้าใจได้ว่า “มาถึงหมู่บ้านแล้ว แต่หาตัวคนเป็นๆ ยังไม่เจอ”
ครับ, ไม่มีอะไรมาก ไม่มีอะไรในกอไผ่ ที่หาไม่เจอก็เพราะว่าผู้ปกครองของนิสิตไป “นอนนา” นั่นเอง (เพราะช่วงนี้อยู่ในห้วงการทำนา จึงจำต้อง “ปิดบ้าน” ไว้และขนข้าวของไปปักหลักดำนาอยู่ที่ทุ่ง)
ถึงกระนั้นก็เถอะ...เอาเข้าจริงๆ ก็ใช่ว่าจะหาตัวได้ง่ายๆ เสียที่ไหน เพราะทุ่งนาที่ว่านั้นก็กว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน ไม่รู้ที่นาใครเป็นที่นาใคร ไกลก็ไกล ลึกก็ลึก ..
จวบเจียนจะมืดค่ำของวันนั้น ทีมงานก็โทรศัพท์กลับมายังผมอีกรอบ หลักๆ เขาบอกเล่าว่า หลังจากพูดคุยกับแม่ของนิสิตแล้ว เขาเกิดแรงบันดาลใจที่จะพาคุณแม่มาหาลูก เพราะหลังจากที่แม่เคยมาส่งลูกที่มหาวิทยาลัยตอนปี ๑ แล้วก็ไม่เคยมาอีกเลย
ผมถามทักกลับไปแบบส่วนตัวๆ กับทีมงานในทำนองว่า “...ทำไมแม่ไม่มาเยี่ยมลูกบ้างเลยล่ะ ...”
ทีมงานตอบแบบเก๋ๆ เพียงสองเหตุผลหลักคือ (๑) จำทางมา มมส ไม่ได้ (๒) ไม่มีตังค์ค่ารถ...
ครับ, คำตอบที่ผมได้รับ ทำให้ผมไม่ลังเลที่จะฟันธงไปเลยว่า “มาเลย...”
(๔)
สารภาพแบบตรงไปตรงมาว่าการขานรับกึ่งสั่งการเช่นนั้น ผมไม่ได้คิดอะไรมาก ผมลืมกระทั่งว่ามีค่าใช้จ่ายมากมายที่จะตามมา ลืมไปเลยว่าทีมงานต้องนอนค้างที่นั่นอีกอย่างน้อย ๑ คืน เพื่อพาแม่ของนิสิตเดินทางมายังมหาวิทยาลัยแบบเงียบๆ...
ไม่รู้สิ,...ผมตัดสินใจไปตามสัญชาตญาณ
ผมแค่รู้สึกอิ่มใจกับเรื่องที่บอกเล่า และปรารถนาที่จะนำพา “ความดีงาม” มาพบปะกัน ถึงแม้ต้องควักต้องจ่ายอะไรเพิ่มเติม ก็มองข้ามไปหมด รู้แต่เพียงว่าอยากให้ “แม่กับลูก” ได้เจอกันเท่านั้นเอง
เช่นนั้นแล้ว จึงฝากฝังทีมงานภาคสนามให้ดูแลตัวเอง พร้อมๆ กับการดูแลแม่ของนิสิตให้เต็มกำลัง ส่วนผมและทีมงานที่เหลือที่อยู่ทางนี้ ก็รับผิดชอบเรื่องการวิ่งเต้นจัดหาที่พักไว้รองรับ...
ซึ่งกรณีที่พักนั้น ก็ไม่ง่ายเลย เพราะเราไม่มีตังค์ อีกอย่างก็เร่งด่วนมาก จึงจำต้องอาศัยเครดิตส่วนตัวโดยการยกสายพูดคุยกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้เปิดห้องเป็นกรณีเร่งด่วนและพิเศษ ส่วนตังค์มีเมื่อไหร่ จะไปจ่ายให้ทีหลัง-
นี่คือพลังของการใช้ใจนำพา...
นี่คือพลังเครือข่ายที่สุดท้ายก็หนุนนำให้เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไม่ยากเย็น
(๔)
เย็นวันจันทร์ที่ ๑๕ สิงหาคม...
นิสิตจำนวนมากเริ่มทยอยเข้าสู่เวทีกลาง หลายคนนั่งฟังเพลง หลายคนเดินดูนิทรรศการต่างๆ
ส่วนคุณแม่ของนิสิตนั้น ยังคงเก็บตัวเงียบในห้องพัก โดยมีเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างดียิ่ง
นิสิตกลุ่มที่ส่งจดหมายเข้าประกวดเริ่มเดินทางมาลงทะเบียน ตอนนั้นไม่มีใครรู้เลยว่า “ใครได้รับรางวัลบ้าง..” เพราะเราเจตนาจะประกาศผลแบบสดๆ บนเวทีให้รับรู้ร่วมกัน ซึ่งผมและทีมงานจัดเตรียมทุนการศึกษาและเกียรติบัตร เพื่อประดับความดีงามนี้ไว้อย่างเสร็จสรรพ
ครับ, กิจกรรมต่างๆ ขับเคลื่อนไปตามแผนที่วางไว้ ดนตรีนำพาทุกคนให้รื่นรมย์ พิธีกรสร้างสรรค์บรรยากาศได้คึกคัก กระทั่งที่สุดแล้วก็ประกาศผลแบบสดๆ บนเวที พอประกาศผลเสร็จ ก็สัมภาษณ์นิสิตสั้นๆ ถึงแรงบันดาลใจที่เขียนจดหมาย ...
เมื่อสัมภาษณ์เสร็จก็เปิดวีดีทัศน์ที่ตัดต่อแบบเร่งด่วนให้ทุกคนได้ชมพร้อมๆกัน ทำเอานิสิตต้นเรื่องและนิสิต หรือแม้แต่เจ้าหน้าจำนวนไม่น้อยนิ่งเงียบและร้องไห้กับด้วยความปลาบปลื้ม
ไม่เพียงเท่านั้น- ผมกับทีมงานก็วางแผนซ้อนแผนอีกรอบ ด้วยการต่อโทรศัพท์ให้แม่ได้คุยกับลูก โดยลูกไม่รู้เลยว่าบัดนี้ แม่ได้มาอยู่ใกล้ๆ แล้ว...
ดูเหมือนนิสิตจะนิ่งอึ้งและสะอื้นอย่างเบาๆ กับคำขานทักของแม่ที่ผมตระเตรียมให้คือ “…ทำไมไม่กลับบ้าน...ทำไมไม่กลับมาช่วยทำนาบ้าง...”
ครับ, ขณะลูกกำลังนิ่งเงียบฟังปลายสายจากแม่...แม่ก็ค่อยๆ ขยับเดินเข้าหาเจ้าตัวอย่างเงียบๆ และที่สุดแล้วก็ยืนเด่นอยู่ต่อหน้าลูก ทำเอาทุกคนในเวที “อึ้ง” ไปตามๆ กัน โดยไม่คาดคิดว่า “แม่” ของ “นิสิต” จะมาจริงๆ ...
(๕)
ครับ, ผมจำภาพนั้นได้ทุกจังหวะของการเคลื่อนตัวของผู้คน
ผมได้ยินกระทั่งเสียงเต้นของหัวใจของใครต่อใครอย่างชัดแจ้ง...
ผมจำได้แม่นยำว่าทันทีที่นิสิตเห็นคุณแม่ของตัวเอง ...นิสิตลุกจากเก้าอี้ และก้มกราบแม่โดยอัตโนมัติเลยทีเดียว...
ขณะที่แม่ก็ก้มลงกอดประคองอย่างอบอุ่น พร้อมๆ กับพูดแบบสวยใสว่า “อย่างร้องนะ...ถ้าร้องแล้วแม่จะตี...”
(๖)
แน่นอนครับ ผมและทีมงานไม่ได้เร่งรีบกับกระบวนการที่เหลือ และไม่จำนนต่อเวลาที่เคลื่อนมาอย่างเร่งร้อน ตรงกันข้ามกลับปล่อยให้แม่กับลูกได้โอบสัมผัสและปลอบเร้ากันและกันอยู่พักใหญ่ ถัดจากนั้นจึงเริ่มสู่การเสวนาถอดบทเรียนชีวิต “ความเป็นแม่และความเป็นลูก” สู่กันฟัง
ไม่แต่เฉพาะแม่เท่านั้นนะครับที่มาเยี่ยมเยือนลูกสาวในวันนั้น หากแต่น้องสาวตัวเล็กก็ติดสอยห้อยตามมาด้วย เพราะแกบ่นว่า “คิดถึงพี่สาวเหลือเกิน...”
มิหนำซ้ำเจ้าเด็กตัวน้อยๆ คนนี้ยังเอาตุ๊กตาแสนรักมาให้พี่สาวด้วยอีกต่างหาก เธอบอกเล่ากับทีมงานประมาณว่า “ตุ๊กตาตัวนี้ พี่สาวเคยขอกับเจ้าตัวมาแล้วสองถึงสามครั้ง แต่เจ้าตัวไม่ยอมให้สักที เพราะเป็นของรักของหวง แต่พออ่านจดหมายของพี่สาวแล้ว ก็อยากมอบให้กับพี่สาวด้วยมือของตัวเอง จะได้เป็นตัวแทน คอยทำหน้าที่อยู่เป็นเพื่อนในยามอยู่ไกลกัน...”
ไม่รู้สิ-ฟังดูเหมือนนิยามจริงๆ หรือแม้แต่เหมือนรายการทีวียังไงยังงั้นเลยทีเดียว..
ครับ, จะว่าไปแล้ว มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หากแต่กระบวนการทุกอย่าง ผมยืนยันได้เลยว่า “ผมและทีมงานรักและทุ่มเทกับงานครั้งนี้มาก” (เราต่างไม่ได้กลับบ้านในวันแม่...เราเทใจทำงานนี้ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีทุน, ทำทั้งที่รู้ว่าต้องสู้รบกับระบบบางระบบ แต่การทำงานแบบใจนำพานั้น มันเป็นการทำงานแบบมองตารู้ใจ...ทุกอย่างเราต่าง “มอง” และ “ข้ามพ้น” ไปอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเราเข้าใจและมองในมุมเดียวกันว่า “ความดีงาม ไม่สมควรเดินทางอยู่อย่างเดียวดาย” ...
(๗)
จวบจนบัดนี้ ในห้วงที่ผมหลบเร้นบางอย่างมาสงบนิ่งอยู่ในมุมเล็กๆ ในเมืองๆ หนึ่ง ผมกลับรู้สึกอยากเขียนเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมาเฉยๆ...
อยากเขียนทั้งที่รู้ว่ามันล่วงผ่านมาเนิ่นนานแล้ว
อยากเขียน, จนอดไม่ได้กับการถามทักตัวเองว่าทำไมถึงอยากเขียน และอยากบันทึกกิจกรรมนี้เหลือเกิน
ครับ, ...ผมตอบตัวเองว่าไม่รู้สิ
ผมรู้แต่เพียงว่า “ความดีงาม ไม่สมควรเดินทางอยู่อย่างเดียวดาย” (กระมัง)
(๘)
ครับ, ผมหวนหลับไปทบทวนเรื่องราวในจดหมายทุกฉบับของนิสิตอีกครั้ง เห็นความงามในหลายมุม หลายมิติ
...จดหมายเกินครึ่งเดินทางกลับ “บ้านเกิด” อันเป็นท้องทุ่ง เพราะเป็น “ลูกชาวนา”
...จดหมายหลายฉบับยืนยันว่า “นี่คือจดหมายฉบับแรกที่เขียนถึงแม่”
...จดหมายหลายฉบับบอกกับแม่ว่านี่คือ “ครั้งแรกที่บอกรักแม่และอยากโอบกอดแม่เหลือเกิน”
...จดหมายหลายฉบับถามทักสารทุกข์สุขดิบของพี่น้องร่วมสายโลหิตอย่างอบอุ่นและอ่อนหวาน หรือแม้แต่ปนน้ำเสียงหม่นเศร้านิดๆ...
...จดหมายบางฉบับเดินทางไกลไปยังต่างประเทศ เพราะ “คนของความรัก” ไปแสวงโชคอยู่ที่นั่น
...จดหมายบางฉบับบ่งบอกถึงความ “ไกลบ้าน” ทั้งที่อยู่ในเมืองไทย และเพื่อนบ้านของไทย
...จดหมายบางฉบับสารภาพผิดและบอกเล่าอย่างทระนงว่ากลับตัวกลับใจก็เพราะ “พ่อและแม่” ...ฯลฯ
(๙)
ครับ, แท้ที่สุดแล้ว ใครจะรู้บ้างว่ากิจกรรมนี้ ผมพยายามสื่อสารให้นิสิต หรือแต่ทีมงาน หรือองค์กรที่ผมสังกัดได้รับรู้ว่า ก่อนการจัดการความรู้ สู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้นั้น มันต้องเริ่มจากการความรัก (หรือเปล่า...)
หรือแม้แต่การถอดบทเรียนเพื่อการจัดการความรู้นั้น แท้ที่สุดแล้ว มันคือการถอดบทเรียนชีวิต...(หรือเปล่า)
ท่านละครับ ...
จดหมายฉบับล่าสุดที่เขียนด้วยลายมือของท่านเกิดขึ้นเมื่อใด
ปัจจุบันท่านมีจดหมายหลงเหลือให้เก็บไว้บ้าง หรือไม่
หรือ...วันนี้ ยังคงมีจดหมายฉบับใดอยู่ในความทรงจำของท่านบ้าง....
ลองถามทักและคุยกับตัวเองดูนะครับ..
เผื่อบางทีจะรู้ว่า ความสุขบางอย่างก็ซ่อนซุกอยู่ใกล้ๆ ท่านนั่นแหละ-
หมายเหตุ...
๑.อยากเขียนให้สั้นๆ (แต่ก็ยังไม่สั้นสักที)
๒.ขอสงวนสิทธิ์ชื่อนิสิตและผู้ปกครอง..
๓.จดหมายทุกฉบับจัดพิมพ์เป็นหนังสืออ่านเล่นตามแนวคิด “นวัตกรรมความคิดนิสิต มมส”
ดีครับพี่นัส
ผมไม่รู้หรอกครับว่าบรรยากาศในวันนั้นเป็นอย่างไร เนื่อจากไม่ได้ร่วมอยู่ในกิจกรรมดังกล่าว แต่หลังจากที่อ่านบันทึกนี้ ความรู้สึกที่พี่ได้บรรยายไว้ในบันทึกมันกลับสามารถเกิดขึ้นในการรับรู้ของผมที่ได้อยู่แค่ต่อหน้าข้อความเท่านั้น แม้ข้อความเพียงไม่กี่บรรทัดมันยังสร้างความ"อึ้ง" "ขนลุก" ได้ถึงเพียงนี้ นับว่าเป็นสิ่งที่มีค่าและงดงามอย่างหนึ่งที่ควรได้รับการสืบสานต่อไป
นับเป็นกิจกรรมที่ดีมากและอยากให้นักศึกษาที่อื่น ๆ ได้รับทราบและเห็นคุณค่าอย่างนี้บ้าง ผมสามารถตามอ่านหนังสือที่ว่านั้นได้ที่ไหนครับ เผื่อเป็นประโยชน์และได้ถ่ายทอดให้กับนักศึกษาที่รักต่อไป
ขอบคุณสำหรับบันทึกอันทรงคุณค่าบันทึกนี้ค่ะ..
คิดๆตามไปด้วยเหือนจะร้องให้เลยครับพี่
เสียดายมากครับที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ เห็นแต่ตู้ไปรษณีย์ที่ตั้งอยู่หน้ากองกิจไม่รู้ว่ามีกิจกรรมนี้ มารู้อีกทีก็วันที่จัดงานจริงๆ(๑๕)
ปกติผมก็เป็นคนที่รักแม่นน่ะครับ อยากจะบอกรักแม่ในทุกๆครั้งที่กลับบ้านแต่เจอหน้าแล้วก็อายที่จะบอก แต่ถ้าได้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ผมต้องบอกรักแม่ได้แน่ๆ เพราะ
๑ แม่ไม่ได้มายืนอยู่ตรงหน้า จึงมีความกล้าที่จะเขียนบอกรักแม่
๒ ถ้านั่งคิดดีๆ นาน คงได้คำพูดที่ดีและสวยงามมาบอกรักแม่
เสียดายที่ไม่ได้เข้าร่วมจริงๆเลยครับ
พี่พนัสครับ..........
อยากดูวิดีทัศน์ที่ได้ไปถ่ายทำมา และอ่านจดหมายฉบัดที่ได้ที่ 1อ่ะครับ
เพิ่มลงในนี้ได้ป่าวครับ