คำกล่าวสุนทรพจน์ Y.A.Bhg.Tun. Dr. Mahathir Bin Mohamad อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย


คำกล่าวสุนทรพจน์ Y.A.Bhg.Tun. Dr. Mahathir Bin Mohamad อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซียในโอกาสรับปริญญารัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ณ หอประชุมวันมูหะมัดนอร์ มะทา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลาบ้านโสร่ง ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา

อ้างอิงจาก http://www.youtube.com/watch?v=o6ty-xi44e0&feature=mh_lolz&list=HL1318046609

คำแปลภาษาไทย

คำกล่าวสุนทรพจน์
Y.A.Bhg.Tun. Dr. Mahathir Bin Mohamad
หัวข้อ "บทบาทองค์ความรู้ในการเสริมสร้ างสันติภาพในภูมิภาค"

เนื่องในโอกาสรับมอบปริญญารัฐปร ะศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศัก ดิ์
3 ตุลาคม 2554
ณ หอประชุมวันมูหะมัดนอร์ มะทา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงยิ่งในความกรุณา และผู้ทรงยิ่งในความปรานี


เรียน นายกสภามหาวิทยาลัยอิสลามยะลา (ฯพณฯ วันมูหะมัดนอร์ มะทา)
อดีตนายกรัฐมนตรี (ฯพณฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์)
อุปนายกสภามหาวิทยาลัย คนที่ 1 (ฯพณฯ อารีย์ วงศ์อารยะ)
อุปนายกสภามหาวิทยาลัย คนที่ 2 (ฯพณฯ สนธิ บุญรัตกลิน)
เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจั งหวัดชายแดนภาคใต้ (นายภาณุ อุทัยรัตน์)
อธิการบดีมหาวิทยาลัยอิสลามยะลา  (ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา)
แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน
ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่านทั้งห ลาย



ก่อนอื่นผมใคร่ขอบคุณเป็นอย่างสูงต่อมหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ที่ให้เกียรติแก่ผมรับปริญญารัฐ ประศาสนศาสตรดุษฎีปัณฑิตกิตติมศักดิ์ในวันอันทรงเกียรตินี้



ประเทศไทยคือ มิตรประเทศที่ใกล้ชิดกับประเทศม าเลเซียมากที่สุด มีความผูกพันฉันมิตรมาอย่างยาวน าน เราได้มีความร่วมมือด้วยดีเสมอมา ทั้งในระดับทวิภาคี ระดับอาเซียนหรือแม้กระทั่งในระดับนานาชาติ นับเป็นความสำเร็จที่เราต่างภาคภูมิใจประเทศไทยเป็นประเทศที่มีพลเมืองนับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่มาเลเซียมีพลเมืองที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นส่วนมาก แต่ความแตกต่างด้านศาสนาไม่เป็นอุปสรรคต่อสัมพันธภาพอันดีงามระหว่างเรา ผมรู้สึกภูมิใจที่เห็นมุสลิมในประเทศไทย สามารถดำเนินชีวิตอย่างปกติสุข การที่รัฐบาลไทยอนุญาตให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยอิสลามยะลาแห่งนี้ ถือเป็นสิ่งยืนยันในความใจกว้างและการให้โอกาสอย่างทั่วถึงของรัฐบาลไทยที่มีต่อพี่น้องมุสลิมในประเทศไทย และนี่คือความอิสระที่เราควรต้องตระหนักและให้ความสำคัญมาก



มนุษย์มักได้รับอิทธิพลจากอารมณ์และสติปัญญา โดยปกติแล้ว อารมณ์ ความรู้สึก จะชักจูงเราให้คล้อยตามความต้องการของเรา ในบางครั้งหากความต้องการของเราไม่ได้รับการควบคุม อาจก่อให้เกิดความโกลาหล วุ่นวาย และเป็นบ่อเกิดแห่งความหายนะต่อตัวเราเอง ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺจึงประทานสติปัญญาแก่มวลมนุษย์เพื่อสามารถควบคุมและป้องปรามความรู้สึกมิให้กระทำการใด ๆ ตามอำเภอใจ ในขณะเดียวกัน มนุษย์สามารถใช้ปัญญาพิจารณาว่าการกระทำอันใดที่ก่อประโยชน์สูงสุด มีความเหมาะสมและปลอดภัยมากที่สุด และเพื่อให้การใช้สติปัญญาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เราจำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้ ซึ่งความรู้ ณ ที่นี้ ไม่ได้จำกัดเพียงความรู้ด้านศาสนาเท่านั้น แต่ครอบคลุมศาสตร์อื่นๆ ที่สามารถประกันความสำเร็จและสันติสุขในชีวิต



ด้วยเหตุนี้เราจึงพบว่า ประเทศต่างๆ จึงให้ความสำคัญกับการก่อตั้งมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นคลังสมองและเปิดโอกาสให้ประชาชนศึกษาเรียนรู้และสร้างสังคมดุลยภาพ ไม่ถูกครอบงำโดยอารมณ์และความต้องการอันไร้ขอบเขต ด้วยพื้นฐานองค์ความรู้ มนุษย์รู้จักวางแผนและกำหนดมาตรการต่าง ๆ ที่สร้างความดีงามแก่ตนเอง สังคมภูมิปัญญาและการเรียนรู้ เป็นสังคมที่มีความเข้มแข็งและมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าสังคมที่ไร้การศึกษา ความรู้จึงมีบทบาทสำคัญในการจรรโลงความสำเร็จสู่สังคม ด้วยเหตุนี้เราจึงจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้



ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทและมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ถึงแม้มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นมหาวิทยาลัยอิสลาม แต่ไม่ได้หมายความว่าสถาบันแห่งนี้จะเปิดการเรียนการสอนด้านศาสนาเพียงด้านเดียว ฐานทางศาสนามีความสำคัญในการกำกับดูแลมนุษย์มิให้ออกนอกลู่นอกทาง แต่ในขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยได้เปิดสาขาวิชาต่าง ๆ มากมายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ในฐานะมุสลิมเรามีหน้าที่สร้างหลักประกันการดำเนินชีวิตที่ดีงามทั้งบนโลกนี้และโลกอาคิเราะฮฺ เราไม่ลืมอาคิเราะฮฺ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ลืมโลกนี้เช่นกัน เรามีความจำเป็นดำเนินชีวิตบนโลกนี้อย่างมีความสุข และประสบผลสำเร็จสูงสุด ซึ่งความสำเร็จเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการจัดการวิธีการดำเนินชีวิตอย่างชาญฉลาดของเราเอง เราจะเป็นผู้กำหนดและผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่สร้างหลักประกันความผาสุกและความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเราสามารถครอบครองศาสตร์และองค์ความรู้เท่านั้น



ดังที่ได้เรียนแล้วว่า ปัจจุบันวิทยาการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้พัฒนาอย่างรวดเร็วมาก และเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เราสามารถสื่อสารกับผู้คนทั่วโลกโดยใช้โทรศัพท์มือถือ เสมือนกับเราอยู่ใกล้ชิดกัน นี่คือผลพวงของการพัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์ และยังมีศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อีกมากมาย


ข้อสำคัญเราอย่าใช้องค์ความรู้เหล่านี้ไปในทางที่ผิด เพราะผู้ที่มีการศึกษา ใช่ว่าสามารถประยุกต์ใช้คำสอนที่ถูกต้องเสมอไป หลายคนที่ใช้องค์ความรู้เพื่อทำลายตัวเอง ครอบครัวและสังคม ดังนั้น นอกจากการแสวงหาความรู้แล้ว เราจำเป็นต้องมีศาสนาคอยกำกับดูแลและสร้างมาตรฐานชีวิตที่สมบูรณ์ นี่คือหน้าที่ของเราในการนำองค์ความรู้เพื่อสรรค์สร้างสังคมที่ดี หากทุกคนตระหนักว่าการพัฒนาสังคมและการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาที่ถูกต้องคือภารกิจหลักของเราแล้ว ผมเชื่อว่าสังคมมุสลิมเป็นสังคมสันติสุขไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม-อินชาอัลลอฮฺ



ในปัจจุบัน สังคมมุสลิมกำลังประสบปัญหาวิกฤติมากมาย หลาย ๆ ประเทศมุสลิมต้องเผชิญกับความเดือดร้อนวุ่นวาย ถูกกดขี่และไม่สามารถดำเนินชีวิตอย่างอิสระชน เพราะถูกกดดันจากฝ่ายที่ไม่หวังดี ในประเทศไทยถึงแม้มีมุสลิมเป็นชนกลุ่มน้อยแต่ก็สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุข แต่พึงระวังเราอย่าใช้องค์ความรู้ไปในทางที่ผิดที่อาจสร้างความสูญเสียแก่สังคมดังที่เกิดขึ้นในประเทศมุสลิมบางประเทศที่เกิดสงครามกลางเมือง และสู้รบในหมู่มุสลิมด้วยกันเอง ซึ่งตามทัศนะอิสลามแล้ว ถือเป็นความผิดพลาดอย่างยิ่ง เพราะอิสลามสั่งห้ามมิให้ฆ่าบุคคลอื่นโดยมิชอบ ทั้งที่เป็นมุสลิมหรือชนต่างศาสนิก การเข่นฆ่าชนต่างศาสนิกไม่ใช่เป็นหน้าที่ของเรา แต่สิ่งที่อิสลามเรียกร้องเชิญชวนคือใช้ชีวิตอย่างปกติสุขกับชนอื่นๆ ท่ามกลางความแตกต่างทางความเชื่อ อัลลอฮฺได้กล่าวไว้ความว่า “ศาสนาของท่านเป็นศาสนาของท่าน และศาสนาของฉันคือศาสนาของฉัน” โองการนี้แสดงให้เห็นว่า เราไม่เป็นศัตรูกับผู้ใด และเราจะไม่ประกาศสงครามกับคนอื่นยกเว้นในกรณีเราถูกรุกรานเท่านั้นปัจจุบันเราพบว่า มีมุสลิมจำนวนมากที่อาศัยอยู่ตามประเทศที่ปกครองโดยผู้นำที่ไม่ใช่มุสลิม มีมุสลิมราว 10 ล้านคนอาศัยอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา กว่า 3 ล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศเยอรมัน ในขณะที่ในประเทศอังกฤษก็มีมุสลิมเป็นเรือนแสน ในฝรั่งเศสมีมุสลิมมากกว่า 5 ล้านคน ซึ่งชาวมุสลิมเหล่านี้สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุข เพราะพวกเขาใช้ความรู้ที่ถูกต้อง และปฏิบัติตามหลักศาสนบัญญัติที่สอดคล้องกับความสามารถของตนเอง ซึ่งหากเราเป็นพลเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกา เราก็ไม่สามารถปฏิบัติตามหลักศาสบัญญัติได้อย่างสมบูรณ์ เพราะอาจขัดแย้งกับกฎหมายของประเทศ เช่นเดียวกันกับที่มาเลเซีย ซึ่งมีประชากรที่นับถือศาสนาอิสลาม 60% ในขณะที่อีก 40% ไม่ใช่มุสลิม เราจึงจำเป็นต้องมีความรอบคอบและเฝ้าระวังมิให้เหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นในประเทศของเรา ขอขอบคุณอัลลอฮฺที่ถึงแม้เรามีทัศนคติที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยภาพรวมแล้ว เรายังสามารถยืนหยัดบนหลักการความยุติธรรมตามเจตนารมณ์ของอิสลาม มาเลเซียจึงเป็นประเทศที่สงบสุขและท่ามกลางบรรยากาศอันสงบสุขนี้ เราสามารถพัฒนาประเทศอย่างเต็มศักยภาพ นอกจากนี้เราสามารถมีบทบาทบนเวทีโลก เนื่องจากความมีเสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจและการปกครอง ถึงแม้เรามีรัฐบาลที่ปกครองโดยชาวมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม แต่ด้วยพลังแห่งความร่วมมือจากทุกฝ่าย เราจึงสามารถสร้างประเทศที่มีความปรองดองและพัฒนาประเทศให้เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว และนี่คือผลพวงจากองค์ความรู้ของบรรดาผู้นำประเทศมาเลเซีย



ด้วยความรู้ทำให้ผู้นำเหล่านี้สามารถแยกแยะสิ่งไหนควรทำและสิ่งไหนไม่ควรทำ เพื่อป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นในประเทศ มาเลเซียจึงปลอดภัยจากวิกฤติที่ร้ายแรง เพราะอัลลอฮฺทรงไม่ชอบคนที่สร้างความวุ่นวาย เราควรพยายามหาแนวทางเพื่อสร้างหลักประกันให้เกิดสันติสุขในสังคม โดยให้ความสำคัญประเด็นศาสนา และนี่คือบทบาทของความรู้ที่ไม่ใช่นำพามนุษย์ให้จมปลักตามอารมณ์ของตนเองเท่านั้น มนุษย์มีสติปัญญา จึงต่างกับสรรพสัตว์ทั้งหลายที่สามารถกระทำตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ ยามใดที่จนตรอก มันก็จะจู่โจมและทำร้ายโดยไม่ยั้งคิด แต่ด้วยอาศัยพลังแห่งปัญญาและความรู้ มนุษย์สามารถหาจุดอ่อน จุดแข็งของตนเอง เมื่อใดที่มนุษย์รับทราบถึงจุดอ่อนจุดแข็งของตนเองแล้ว เขาสามารถกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อเอื้อประโยชน์และสร้างความปลอดภัยให้กับตนเอง แต่หากเราคล้อยตามอารมณ์หรือดำเนินการใด ๆ ที่ไม่ก่อประโยชน์แก่ตนเอง เราก็จะประสบกับความวุ่นวายและความยากลำบากในชีวิต จนกระทั่งในบางครั้ง อาจทำให้ศาสนาของเราหม่นหมองไปด้วย


ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงพยายามไขว่คว้าความรู้ ณ ทุกแห่งหน การแสวงหาความรู้จึงเป็นบทบัญญัติ ทางศาสนา อิสลามสั่งใช้ให้มนุษย์ “อ่าน” และเรียนรู้ เพราะเมื่อเราอ่าน เราก็สามารถเพิ่มพูนความรู้ ผู้ใดที่ไม่อ่านหนังสือ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีความรู้ การอ่านจึงเป็นความพยายามที่กว้างขวางครอบคลุมทุกศาสตร์วิชา และเราต้องเรียนรู้ในทุกแขนงวิชา หากเราไม่รู้ เราจะเป็นคนปลายแถวทันที



ณ ที่นี่ ผมใคร่พูดถึงประวัติศาสตร์ของประชาชาติมุสลิม ซึ่งในยุคแรกของประวัติศาสตร์อิสลาม มุสลิมขวนขวายหาความรู้ด้วยความมุ่งมั่น พวกเขาเป็นผู้บุกเบิกศาสตร์ด้านต่างๆ ทั้งวิทยาศาสตร์และปรัชญา พวกเขามีความเชี่ยวชาญ
ภาษาอื่นๆ เช่น ภาษากรีก ฮินดู เพื่อใช้เป็นสื่อในการแสวงหาความรู้ พวกเขาจึงแตกฉานศาสตร์ต่างๆ และเผยแพร่ไปทั่วโลก ในเมืองสำคัญของประเทศอิสลามในขณะนั้น จึงอุดมด้วยห้องสมุดและวิทยาการ แต่ในช่วงทศวรรษที่ 15 ได้มีแนวคิดว่าวิทยาศาสตร์และความรู้อื่น ๆ ไม่มีประโยชน์อันใดต่อชีวิต การเรียนรู้ในศาสตร์เหล่านี้ ไม่มีผลบุญอันใดเลย ผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์จึงไม่ค่อยให้ความสนใจพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์มากนัก ในขณะเดียวกันยุโรปขณะนั้นกำลังอยู่ในยุคมืด (The Dark Eges) ชาวยุโรปได้ศึกษาอารยธรรมอิสลาม และเห็นความก้าวหน้าทางวิชาการของโลกมุสลิม พวกเขาจึงศึกษาเรียนรู้ภาษาอาหรับเพื่อเป็นสื่อในการแสวงหาความรู้ที่ปรากฎในประเทศอิสลาม ในขณะเดียวกันชาวมุสลิมได้พร้อมใจหันหลังกับวิทยาการสมัยใหม่ แต่ชาวยุโรปกลับลุกขึ้นจากการหลับใหล หันมาสนใจศึกษาวิทยาการสมัยใหม่ จนกระทั่งยุโรปสามารถสถาปนา อารยธรรมที่มั่นคง เข้มแข็งตราบจนปัจจุบัน ในขณะที่ชาวมุสลิมกลับถอยหลังเข้าคลอง พวกเขาไม่สามารถแม้กระทั่งปกป้องตนเอง เราพบว่าขณะนี้สภาพของมุสลิมประสบกับความตกต่ำแค่ไหน พวกเขาไม่สามารถลุกขึ้นปกป้องตนเอง นี่คือบทบาทองค์ความรู้ต่อการสร้างอารยธรรม หากเราไม่สามารถสรรค์สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ แสดงว่าเรากำลังเลือกเดินบนเส้นทางแห่งความถดถอย แต่หากเราเป็นสังคมภูมิปัญญา มีการศึกษาทั้งศาสตร์ศาสนา และศาสตร์การดำเนินชีวิต เราจะเป็นสังคมที่เจริญที่สามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ ทัดเทียมกับอารยประเทศ



นี่คือเหตุผลที่เราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา เราอยากเห็นสังคมมุสลิมมีการพัฒนาเช่นเดียวกันกับสังคมอื่น เราไม่ตั้งใจที่จะประกาศสงครามกับชนต่างศาสนิก แต่เราควรแข่งขันกับเพื่อนมนุษย์บนโลกนี้ในทุกด้าน ทั้งด้านธุรกิจ เศรษฐกิจ การเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวิชาการ เราไม่เพียงแต่ไขว่คว้าความรู้ที่มาจากข้างนอก แต่เราต้องคิดค้นสร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ๆ โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ ขอให้ท่านมั่นใจว่า ด้วยวิธีการนี้เท่านั้นทำให้เราเป็นสังคมที่พัฒนา ไม่ว่าจะเป็นสังคมมุสลิมหรือไม่ก็ตาม


ผมขอขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง ที่ให้โอกาสแก่ผมพูดคุยกับนิสิตนักศึกษา บรรดาผู้นำและผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายในวันอันทรงเกียรตินี้



ผมเชื่อเหลือเกินว่ามหาวิทยาลัยอิสลามยะลาเป็นสถาบันที่เปิดโอกาสให้บรรดาเยาวชนใฝ่หาเรียนรู้วิชาและศาสตร์ต่างๆ ที่ไม่จำกัดเฉพาะศาสตร์ด้านศาสนาเท่านั้น แต่ศาสตร์อื่นๆ ที่จำเป็นก็มีความสำคัญไม่แพ้กั



ผมเชื่อมั่นว่าหากเราสามารถแสวงหาความรู้อย่างเท่าเทียมกันแล้ว เราสามารถยืนหยัดบนโลกนี้ท่ามกลางภาวะการแข่งขันในปัจจุบันอย่างมีประสิทธิภาพ



ผมขอชื่นชมและแสดงความยินดีกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยอิสลามยะลาแห่งนี้ โดยเฉพาะประเทศที่ให้การสนับสนุนกิจการของมหาวิทยาลัยโดยตลอด อาทิ ประเทศกาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และคูเวตเป็นต้น ผมเชื่อว่าการสนับสนุนในลักษณะนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่มุสลิมที่พึงปฏิบัติต่อพี่น้องมุสลิมด้วยกัน เพื่อสามารถอยู่ร่วมกับทุกสังคมในโลกนี้ได้อย่างสันติสุข

 

ขอขอบคุณมหาวิทยาลัยอิสลามยะลาอีกครั้งหนึ่งที่มอบปริญญารัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ในวันนี้ และหวังว่าผมคงสามารถให้การสนับสนุนสถาบันแห่งนี้เท่ากำลังความสามารถของผม และผมขอดุอาให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยความมุ่งมั่นของผู้บริหารและคณาจารย์ตลอดจนความตั้งใจเรียนของบรรดานักศึกษาผู้โชคดีทั้งหลายที่สามารถเก็บเกี่ยวความรู้ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้

วัสสลาม


แปลโดย อ.มัสลัน มาหะมะ
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา

 

และสำหรับท่านที่อ่านภาษายาวีได้ (Bahasa Jawi) คลิ๊กอ่านตามลิงค์นี้ได้เลยครับ http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/762/510/original_ucapan.pdf?1318045133

 


หมายเลขบันทึก: 464148เขียนเมื่อ 8 ตุลาคม 2011 11:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 03:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ขอบคุณมากครับ ที่แปลมาให้อ่าน

ขอบคุณคุณIco48 บีเวอร์ ที่แวะเข้ามาอ่านครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท