เพียงไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกับอดีตลูกทีมที่เคยทำงานสู้ภัยน้ำท่วมแบบเคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกัน โดยเมื่อสามปีที่แล้วเขายังมีสถานภาพเป็น “นิสิตกลุ่มไหล” ส่วนผมเป็นเจ้าหน้าที่ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น
ครั้งกระโน้นทั้งผมและนิสิตกลุ่มไหล รวมถึงน้องๆ ในสายงานบางคนได้ตะลุยเวิ้งน้ำเข้าสู่หมู่บ้าน เพื่อทำหน้าที่บรรเทาทุกข์บำรุงสุขให้กับชาวบ้านที่กำลังเผชิญหน้ากับภาวะ “น้ำท่วม”
การงานในครั้งนั้น เราเริ่มต้นจากภาวะส่วนตัวก่อน แล้วค่อยขับเคลื่อนเข้าสู่ระบบ พร้อมๆ กับการเชื่อมโยงไปสู่มหาวิทยาลัย เพื่อให้มหาวิทยาลัยหันมาสนธิกำลังร่วมกัน จนในที่สุดก็เกิดวาทกรรมที่ผมชูโรงนำกระบวนการทั้งปวงว่า “ใจนำพา ศรัทธานำทาง”
ครั้งนี้ผมไม่ได้ร่วมคิดร่วมสร้างอะไรมากมายนัก ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจากการลาออกจากสายงานของการเป็น “หัวหน้า” แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิวายเขียนโครงการของบประมาณไว้รองรับวิกฤตน้ำท่วมอย่างเสร็จสรรพ ด้วยหวังว่าสิ่งที่ผมทำให้นั้น จะช่วยให้ทีมงานได้ทำงานได้สะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ คล้ายกับว่าอะไรๆ จะขับเคลื่อนไปอย่างล่าช้าอยู่ไม่ใช่น้อย มีการลงพื้นที่ล่วงหน้าไปแล้วร่วมสัปดาห์เศษๆ แต่ก็ยังไม่ปรากฏภาพเชิงรุกในวงกว้างให้ได้เห็นกันอย่างถ้วนทั่ว จนผมอดที่จะถามทักแบบถึงลูกถึงคนไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น...
ผมและอดีตลูกทีมถกคิดกันเข้มข้นมาก โดยเฉพาะผมนั้นยอมรับว่าถามทักไล่ต้อนอย่างถึงพริกถึงขิง โดยหลักๆ พยายามกระตุ้นให้เขาได้รับรู้ว่า “สายน้ำไม่รอใคร แล้วทำไมเราต้องรอสายน้ำ”
แน่นอนครับ ผมคิดในทำนองนั้น เพราะเจ้าตัวบอกกับผมในทำนองว่า หลังจากลงพื้นที่นั้นพบว่า “..น้ำยังไม่หลากมาก ชาวบ้านยังรับมือไหว..” จึงยังไม่โถมแรงเข้าสู่กิจกรรมนั้นเต็มสูบ กอปรกับช่วงนี้ภารกิจเยอะแยะเต็มไปหมด พลอยให้การงานเหล่านี้สะดุดไปเป็นจังหวะๆ...
ภายหลังได้รับฟังมุมมองเช่นนั้น ผมจึงโถมถั่งมุมมองของตัวเองออกมาราวกับน้ำหลาก ด้วยหวังว่าจะชวนให้เขาได้ “ถอดบทเรียน” ร่วมกันสักยก และเสริมพลังให้เขาได้ลุกขึ้นมาอย่างมีพลังกันอีกสักรอบ
ครับ,เอาแค่สองเหตุผลแค่นี้ ก็ไม่น่าจะทำให้การงานสะดุด หรือล่าช้าไปได้เลย มิหนำซ้ำยังบอกกล่าวกับผมว่าจะรอลงพื้นที่ร่วมกับมหาวิทยาลัยฯ อย่างเป็นทางการในวันที่ 8 ตุลาคม 2554
พอได้ฟังเช่นนั้น ผมยิ่งร้อนดังไฟเผาตัว และไม่รีรอที่จะถกคิดกลับไปยังเขาอีกรอบประมาณว่า “เงินเราก็มี...เครือข่ายชุมชนเราก็มีมาก ซึ่งเป็นผลพวงของกิจกรรม 1 คณะ 1 หมู่บ้าน ทำไมต้องรอให้ทุกอย่างล่าช้าแบบนี้ เพราะในอดีตผมเคยพาประเมินสถานการณ์ทุกวันว่าจะน้ำจะเพิ่มกี่มากน้อย เพื่อให้รู้จุดหมายและห้วงเวลาของการทำงานเชิงรุก เพื่อให้คนที่อยู่ปลายน้ำรับรู้ว่าเรากำลังจะไปช่วย...”
นอกจากนั้น ผมก็ยังเน้นหนักว่า หากเราสามารถเคลื่อนลงไปก่อน ก็เท่ากับว่าเราสามารถสร้างพื้นที่ให้นิสิตได้เรียนรู้กระบวนการต่างๆ ด้วยตนเองอย่างเข้มข้น นิสิตจะได้เป็น “พระเอก นางเอก” ด้วยตนเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องรอลงพื้นที่พร้อมคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยก็ได้
วิธีคิดเช่นนั้น ผมไม่เห็นว่าจะเสียหายอะไร อย่างน้อยก็เป็นการลงพื้นที่ช่วยชาวบ้านล่วงหน้า ดีกว่ารอไปพร้อมกับมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่รู้เลยว่าพอถึงวันนั้น น้ำจะท่วมมากแค่ไหน ชาวบ้านจะเป็นอยู่อย่างไร..
ไม่เพียงเท่านั้น ผมยังชวนให้เขาทบทวนบทเรียนในสองปีย้อนหลังว่ามีอะไรเป็นเครื่องมือในการทำงานบ้าง เพื่อให้รู้ว่า “ปีนี้จะงัดอะไรมาสู้กับวิกฤตนี้บ้าง” เช่น การประชาสัมพันธ์เชิงรุกด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคี การตักบาตรช่วยผู้ประสบภัย การตรวจสุขภาพ การร้องรำทำเพลงปลุกปลอบขวัญ ฯลฯ
ครับ, ภายหลังการถกคิดและกระตุ้นแบบระห่ำจากผม เวลายังไม่ทันข้ามวัน ทั้งเขาและทีมงาน หรือแม้แต่นิสิตก็ตัดสินใจลงพื้นที่กันเองในวันที่ 1 ตุลาคม 2554 เป็นการลงสู่ชุมชนเพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน โดยการพลิกสถานการณ์จากการรอวันที่ 8 ตุลาคม 2554 มาแบบเร่งด่วน
ก่อนพลบค่ำของวันนั้น ผมได้รับการบอกข่าวกลับมาว่า “พร้อมลุย” มีการตระเตรียมข้าวของอย่างคึกคัก แกนนำชุมชนเข้ามาร่วมคิดร่วมทำ...นิสิตเดินรุกขอรับบริจาคโดยไม่สะทกสะท้อนต่อการสอบปลายภาค-
ผมมองว่าการลงพื้นที่ล่วงหน้าเช่นนั้น คือการไปปลุกปลอบชาวบ้านเป็นระยะๆ เป็นการสร้างพื้นที่ให้นิสิตได้เรียนรู้และลงมือทำอะไรๆ ด้วยตนเองอย่างมีตัวตน เป็นการพิสูจน์ว่านิสิตคิดและขับเคลื่อนเรื่องเหล่านี้อย่างไร และจะวางแผนต่อยอดกันอย่างไร...
และที่สำคัญก็คือเป็นการถามทักเจ้าหน้าที่ว่าเขาได้ถอดบทเรียนในแต่ละครั้งกี่มากน้อย และเขาต้องเรียนรู้ว่างานบางอย่าง มันต้องใช้พลังใจในการขับเคลื่อน ไม่ใช่เอาระบบเข้าขับเคลื่อนไปซะทุกอย่าง และงานบางงานก็ต้องทำแบบเป็นปรากฏการณ์ ไม่ใช่คิดและทำแบบเงียบๆ เนียนๆ ...
นี่แหละครับ ใจนำพา..ศรัทธานำทาง
นี่แหละครับ บทเรียนแห่งการต่อยอดจากอดีตมาสู่ปัจจุบัน
เพราะในเมื่อ “สายน้ำยังไม่รอใคร แล้วทำไมเราต้องรอสายน้ำ...”
สรุป...ลุยเลยครับ อย่ารอให้น้ำท่วมแล้วค่อยขับเคลื่อน...!
และการขับเคลื่อนก็ไม่จำเป็นต้องจ่อมจมอยู่แต่เฉพาะมหาสารคามเท่านั้น "ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีรัก" ดังนั้นจะกลัวอะไรในเมื่อโครงการ ผมก็เขียนครอบคลุมไว้หมดแล้ว ทั้งงบประมาณและพื้นที่...
หมายเหตุ
1.เป็นการลงพื้นที่ในบ้านห้วยชัน,บ้านกุดหัวช้าง,บ้านโขงกุดเวียน
2.มอบถุงยังชีพ จำนวน 200 ถุง
3.วันที่ 7 ตุลาคม 2554 นิสิตลงพื้นที่ช่วยชาวบ้านที่กาฬสินธุ์
4.วันที่ 8 ตุลาคม 2554 มหาวิทยาลัยฯ ลงพื้นที่ชุมชนรอบมหาวิทยาลัยอีกครั้ง
ภาพ : จากงานประชาสัมพันธ์และสารสนเทศ
กองกิจการนิสิต มมส
ร่วมมือร่วมใจ ช่วยไทยด้วยกัน
ช่วยเหลือแบ่งปัน ทุกข์นั้นผ่อนคลาย
*** มาให้กำลังใจด้วยคนนะคะ...
งดงามจริงๆครับ..
"ความคิดดัง เท่า ๆ กับ หัวใจเดิน" ;)...
เป็นแบบอย่างแห่งการร่วมใจ ไม่ต้องรอให้ภัยมานะคะ..