เมื่อลูกถูกตราว่าโง่
เหตุเกิดเมื่อวันพุทธื้21 กันยายน 2554 เวลาประมาณ 17.00 น ณ โรงเรียนเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่ง
ก่อนอื่นเราต้องยอมรับว่า ลูกคือดวงใจของพ่อแม่ พ่อแม่ทุกคนยอมรักลูกห่วงลูกเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน เมื่อลูกถึงวัยที่จะต้องเข้าเรียน พ่อแม่ก็จะเลือกสรรค์โรงเรียนที่เขาคิดว่ามีความพร้อม มีความสามารถในการดูแลและจัดการการศึกษาให้ลูกของเขาได้อย่างเหมาะสมกับศักยภาพของเด็ก ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่พยายามเลือกสรรค์สิ่งที่คิดว่าดีที่สุดแล้วให้กับลูกๆ โดยการเลือกที่จะส่งลูกซึ่งเป็นแก้วตาดวงใจเข้ารับการศึกษา ณ โรงเรียนเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่งประจำจังหวัด และมีชื่อเสียงในระดับประเทศ เพียงเพราะมีความมั่นใจ เชื่อใจว่าโรงเรียนแห่งนี้จะสามารถให้การดูแล อบรมบ่มนิสัยลูกๆที่รักให้เป็นคนดีของสังคมได้ โดยไม่คิดหวังว่าจะต้องเรียนเก่งเลิศเลอเหมือนกับใครๆ ด้วยตัวเองก็รู้อยู่แล้วว่าลูกมีสมาธิสั้น แถมยังความจำไม่ดีอีกด้วย
จนถึงนะวันนี้ก็ยังคงมั่นใจในโรงเรียนเอกชนว่าจะมี ระบบการดูแลช่วยเหลือ การเอาใจใส่เด็กมีคุณภาพดีกว่าโรงเรียนรัฐบาล เพียงเพราะเชื่อมั่นในปณิธาน ระบบการบริหารจัดการของโรงเรียนเอกชนที่เข้มแข้ง เข้มงวด เอาจริงเอาจังนั่นเอง ถ้าวันนั้นในขณะที่ดิฉันไปรอรับลูกกลับบ้านหลังจากเรียนพิเศษตอนเย็น ( ดิฉันเลิกงาน 16.30 น กว่าจะไปรับลูกที่โรงเรียนก็ประมาณ 17.00 น. จึงขอให้ลูกเรียนพิเศษ เพิ่มตอนเย็น เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ขณะที่รอแม่ไปรับกลับบ้าน)
ลูกชายคนเดียวของดิฉัน เดินหน้าคว่ำมาที่รถ พอเปิดประตูขึ้นนั่งในรถ เขาก็ก็บอกว่า แม่ครับ วันนี้หนูถูกครูตี ดิฉันถามว่า " ลุกไปทำผิดอะไร " ลุกชายตอบว่า วันนี้คุณครูประจำชั้นให้ทำข้อสอบคณิตศาสตร์ 20 ข้อ แล้วครูก็ออกไปนอกห้อง เป็นเวลานาน เมื่อกลับเข้าห้องเรียนมาก็พบว่าเด็กๆในห้องเล่นกัน ส่งเสียงดัง จึงลงโทษด้วยการตียกชั้น ดิฉัน บอกลูกว่า ก็ดีแล้วเล่นกัน ไม่ทำงานที่เขาสั่ง เขาก็ลงโทษ ไม่ต้องมาบ่นให้แม่ฟังเลย
ลูกบอกว่า "ก็พอครูตีแล้ว หนูก็เอาข้อสอบไปส่ง เพราะหนูทำเสร็จก่อน ครูก็ไม่ตรวจ มองดูแล้วฉีกทิ้ง สั่งให้หนูไปทำใหม่ หนูก็มานั่งทำไหม่ เสร็จแล้วเอาไปส่ง พอครูตรวจเสร็จ หนูได้คะแนน 9 เต็ม 10 ครูก็เงยหน้ามาตามว่า " มันเป็นไปได้ไหมที่เธอจะทำได้ 9 เต็ม 10 เธอลอกใคร " ดิฉันถามลุกว่า แล้วลูกลอกเพื่อนหรือเปล่า ลูกบอกว่าก็หนูนั่งข้างโต๊ะครู ถ้าหนูลอกใครครูก็ต้องเห็น หนูไม่ได้ลอกใคร
ถ้าเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นกับลูกของคุณ คุณจะรู้สึกอย่างไร
นี่ครูเขาตราหน้าหมายหัวเด็กเลยเชียวหรือ ถ้าคนไหนเรียนไม่เก่ง ก็ต้องทะคะแนนได้ไม่ดีไปตลอดชีวิต ชาตนี้ทั้งชาติจะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นไม่ได้เลยเชียวเหรอ
ทุกคืนก่อนนอน ดิฉันจะใช้เวลาสอนหนังสือให้ลูก เรียนอะไรไม่เข้าใจก็จะมีการสอนซ้ำ อธิบายให้ลูกเข้าใจก่อนนอนอย่างน้อย ครึ่งชั่วโมง ทุกคืน
ด้วยความคับข้องใจมากของคนที่เป็นแม่ และไม่อยากให้มีเรื่องราวใหญ่โตไปมากทั้งที่โมโหมากที่ครูพูดจาและมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวกับเด็กแบบนี้ ดิฉันไปได้ไปพบผู้บริหารโรงเรียนด้วยตนเอง แต่ไปรายงานให้ผู้ที่รับผิดชอบการจัดการศึกษาโรงเรียนเอกชน ในระดับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้รับรู้รับทราบ ท่านผู้บริหารระดับเขตพื้นที่ท่านก็ดีมาก ไปติดตามถามไถ่ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนเลยที่เดียว
ได้รับคำตอบว่า หนังสือเรียนคณิตศาสตร์เล่มที่ครูแจกให้นักเรียนทำข้อสอบนั้นเด็กทุกคนได้เหมือนกันหมด แต่หนังสือเล่มที่ลูกได้รับมีเฉลยอยู่ด้านหลัง ครูบอกว่าเด็กดูเฉลย และที่ฉีกทิ้งไม่ใช่ข้อสอบเด็ก แต่ครูฉีกเฉลยด้านหลังหนังสือเรียนทิ้ง ( ชักสงสัย หนังสือโรงเรียนก็เป็นผู้จัดหามาเอง และเวลาเรียนเสร็จ ก็คืนไว้ที่โรงเรียน ไม่ได้ให้เด็กทำในหนังสือ แต่ให้ทำในสมุดของเด็กเอง ไม่ได้มอบให้ไว้ประจำตัวเด็ก แล้วหนังสือคณิตศาสตร์เล่มที่ลูกได้เล่มนั้นมันมีเฉลยอยู่เล่มเดียวได้อย่างไร งงคะ )
จากนั้นท่านผู้บริหารจากเขตพื้นที่ ท่านก็ถามว่า แล้วเมื่อทำใหม่แล้วเด็กก็ยังได้คะแนนดี แสดงว่าเด็กเรียนดีซิ แล้วทำไม่ไปว่าเด้กอย่างนั้น
คำตอบที่ได้ ฟังแล้วขำกลิ้งเลย ครูตอบว่า " ก็เด็กมันหัวดี มันจำแม่น ให้ทำใหม่เลยได้คะแนนดี แต่เป็นเด็กที่ซนมากเลยนะคะ "
ถ้าเป็นคุณ คุณจะทำอย่างไร ทีแรกดิฉันก็จะย้ายลูกออกจากโรงเรียนแห่งนี้ มานึกอีกที ก็เหลือเวลา อีก 1 เทอมลูกก็จะเรียนจบระดับประถมศึกษาแล้ว เขาตราบาปแต่ลุกเรา เขาไม่ได้ตราบาปลูปคนอื่น ( หรือทำด้วยก็ไม่รู้ได้) ถ้าเราร้องเรียน แล้วเขาถูกไล่ออก ครอบครัวเขาจะเป็นอย่างไร ลูกๆเขาก็คงลำบาก โรงเรียนก็เสียชื่อเสียงเพราะคนๆเดียว พฤติกรรมของคนๆเดียว ซึ่งคนเราทุกคนย่อมมีอารมณ์และสถานการณ์อื่นเขามาสอดแทรกในขณะทำงานตลอดเวลา แต่เราต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ เมื่อเรารักที่จะเป็นครู ก็ต้องมีใจรักเด็ก ศึกษาข้อมูลของเด็กแต่ละคน ต้องเข้าใจเขา ไม่ใช่พอเด็กทำอะไรไม่ถูกใจตัวเองก็ใช้อารมณ์หรืออารมณ์ค้างมาจากไหนก็มาระบายอารมณ์กับเด็ก
ดิฉันบอกลูกว่า ไม่ต้องคิดอะไรมาก ให้อดทน เขาจะพูด เขาจะว่า เขาแสดงพฤติกรรมกับเราอย่างไร ก็ให้มีขันติ อดทน เดี๋ยวเราก็เรียนจบแล้ว ถ้าเราย้ายวันนี้ แม่ก็สามารถพาหนูไปได้ แม่ติดต่อโรงเรียนอื่นไว้แล้ว แต่มันจะทำให้หนูเป็นคนไม่อดทน หนูต้องเอาชนะคำพูดของครูเขาให้ได้ ทำให้เขาละอายใจตนเองให้ได้ ยิ่งเขาดูถูกเรามากเท่าไร เราต้องพยายามเอาชนะคำพูดนั้นให้ได้
แล้วถ้าเป็นคุณ ลูกคุณเป็นเด็กหลังห้องแล้วเจอสถานการณ์แบบนี้ คุณจะทำอย่างไร
ไม่มีความเห็น