หมออนามัย นวัตกรรม อาการโรคไต
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหินซ้อน อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี
(นายอานนท์ ภาคมาลี นักวิชาการสาธารณสุข ชำนาญการ) 083 - 6878607
ปัญหา/สาเหตุ
โรคไต หมายถึง โรคอะไรก็ได้ที่มีความผิดปกติหรือเรียกว่า พยาธิสภาพเกิดที่บริเวณไต ที่พบมากได้แก่ โรคไตวายเฉียบพลัน จากสาเหตุต่างๆ โรคไตวายเรื้อรัง เกิดตามหลังโรคเบาหวาน โรคไตอักเสบ หรือโรคความดันโลหิตสูง โรคไตอักเสบ เนเฟติก โรคไตอักเสบ จากภาวะภูมิคุ้มกันอักเสบ (โรค เอส แอล อี) โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ โรคถุงน้ำที่ไต (Polycystic Kidnoy Disease)
สาเหตุ
- เป็นมาแต่กำเนิด (Congenital) เช่นมีไตข้างเดียว หรือไตมีขนาดไม่เท่ากัน โดยไตเป็นถุงน้ำ ซึ่งเป็นกรรมพันธุ์ เป็นต้น
- เกิดจาการอักเสบ (Inflammation) เช่นกลุ่มเลือดฝอยของไตอักเสบ
- เกิดจากการติดเชื้อ (Infection) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเป็นส่วนใหญ่ เป็นกรวยไตอักเสบ ไตเป็นหนอง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ(จากเชื้อโรค) เป็นต้น
- เกิดจากการอุดตัน (Obstruction) เช่นจากนิ่ว ต่อมลูกหมากโต มะเร็งมดลูกไปกดทับท่อไต
- เนื้องอกของไต ซึ่งมีหลายชนิด
ทุกท่านอย่าลืมดูแลตัวเองครับ
อาการ
- ปัสสาวะเป็นเลือด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโรคไต แต่ก็อาจจะไม่ใช่ก็ได้ โดยจะปัสสาวะเป็นเลือด อาดเป็นเลือดสด เลือดเป็นลิ่มๆ
- ปัสสาวะเป็นสีแดง สีน้ำล้างเนื้อ สีแดงแก่ๆ หรือปัสสาวะเป็นสีเหลืองเข้ม ก็ได้
- ปัสสาวะเป็นฟองมาก เพราะมี albumin หรือโปรตีนออกมามาก จะทำให้ปัสสาวะมีฟองขาวๆเหมือนฟองสบู่(การมีปัสสาวะปนเลือดพร้อมกับมีไข่ขาวโปรตีนออกมาในปัสสาวะพร้อมๆกัน เป็นข้อสันนิษฐานที่มีน้ำหนักมากกว่าจะเป็นโรคไต)
- ปัสสาวะขุ่น อาจเกิดจากมีเม็ดเลือดแดง(ปัสสาวะเป็นเลือด)เม็ดเลือดขาว(มีการอักเสบ) มีเชื้อแบคทีเรีย(เพราะว่ามีการติดเชื้อ)หรืออาจเกิดจากสิ่งที่ร่างกายขับออกมาจากไต แต่ละลายได้ไม่ดี
- การผิดปกติการถ่ายปัสสาวะ เช่นการถ่ายบ่อย ปัสสาวะแสบ ปัสสาวะราด เบ่งปัสสาวะ อาการเหล่านี้ ล้วนเป็นอาการผิดปกติ ของระบบทางเดินปัสสาวะ ต่อมลูกหมาก และท่อทางเดินปัสสาวะ
- การปวดท้องอย่างรุนแรงร่วมกับการมีปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขุ่น หรือการมีกรวดทราย แสดงว่าเป็นนิ่วในไต แลทางเดินปัสสาวะ
- การมีก้อนบริเวณไต หรือบั้นเอวทั้งสองข้าง อาจเป็นโรคไต เป็นถุงน้ำ การอุดตันของไต หรือเนื้องอกของไต
- ปวดหลัง ในกรณีที่กรวยไตอักเสบ จะมีอาการไข้ หนาวสั่น และปวดหลังบริเวณไต คือบริเวณสันหลังใต้ซีกโครงซีกสุดท้าย
- อาการบวม โดยเฉพาะบวมที่บริเวณหนังตาในตอนเช้า หรือหน้าบวม ซึ่งถ้าเป็นมาก จะมีอาการบวมทั่วตัว อาจเกิดได้ในโรคไตหลายชนิด แต่ที่พบบ่อย โรคไตอักเสบชนิด เนฟโฟนติด ซินโดรม
- ความดันโลหิตสูง เนื่องจากไตสร้างสารควบคุมความดันโลหิต ประกอบกับไตมีหน้าที่รักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย เพราะฉะนั้นความดันโลหิตสูงอาจเป็นจากโรคไตโดยตรงหรือในระยะไตวาย มากๆ ความดันโลหิตก็จะสูงได้
- ซีดหรือโลหิตจาง ซึ่งเกี่ยวกับความดันโลหิตสูง สาเหตุของโรคโลหิตจาง แต่สาเหตุที่เกี่ยวกับโรคไตคือ โรคไตวายเรื้อรัง เนื่องจากปกติไตจะสร้างสารอีริโธโปอีตีน(Erythropoetin) เพื่อไปกระตุ้นให้ไขกระดูก สร้างเม็ดเลือดแดง เมื่อเกิดไตวายเรื้อรัง ไตจะไม่สามารถสร้างอีริโธโปอีตีน(Erythropoietin) ไปกระตุ้นไขกระดูก ทำให้ซีด และโลหิตจาง มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เหนื่อยง่าย หน้ามืดเป็นลมบ่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ควรต้องไปพบแพทย์ ทำการซักประวัติ ตรวจร่างกายและตรวจทางห้องปฏิบัติการเช่น ตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด จึงจะพอบอกได้แน่นอน ว่าเป็นโรคไตหรือไม่
วิธีการรักษา อาจแบ่งได้เป็น 4 วิธีหลัก ด้วยกันคือ
- การตรวจค้นหาและการวินิจฉัยโรคไตที่เหมาะสม การตรวจค้นหาวินิจฉัยโรค ที่ถูกต้องได้ในระยะต้นๆของโรค ย่อมมีโอกาสได้รับผลการรักษาดีกว่าการวินิจฉัยล่าช้า
- การเกิดที่สาเหตุของโรคไต เช่นการรักษานิ่วไต การหยุดยาซึ่งเป็นพิษของไต การควบคุมโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ให้ดีอย่างสม่ำเสมอ การใช้ยาที่เหมาะสม กับโรคเนื้อไตอักเสบ แต่ละชนิดเป็นต้น
- การรักษาเพื่อชะลอความเสื่อมของไต แม้แพทย์จะรักษาสาเหตุของโรคไต แล้วแต่ผู้ป่วย จำนวนมากมีการทำงานของไต ที่เสื่อมลงกว่าปกติ เพราะเนื้อไตบางส่วนถูกทำลายไป ไตส่วนที่ดี ซึ่งเหลืออยู่ จะต้องทำงานหนักขึ้น ทำให้ไตเสื่อมการทำงานขึ้นตามระยะเวลาและมักเกิดไตวายมาที่สุด ดังนั้นการชะลอความเสื่อมของไต อันได้แก่ การควบคุมอาหารให้เหมาะสม กับการทำงานของไตที่เหลืออยู่การชียาเพื่อปรับสารต่างๆ ที่เป็นพิษต่อไต การควบคุมความดันโลหิตให้ดี
- การรักษาทดแทนการทำงานของไต (การล้างไตและการผ่าตัดผูกถ่ายไต) เมื่อไตวายมากขึ้น จนเข้าระยะสุดท้าย ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาด้วยการล้างไตหรือการผ่าตัดผูกถ่ายไต
อาการที่ทำให้ไตผิดปกติ
- โพแทสเซียม หากไตขับโพแทสเซียมน้อยเกินไป จึงทำให้โพแทสเซียม คั่งในเลือด ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้อล้า หัวใจเต้นผิดจังหวะ และอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ ดังนั้นผู้โรคไตจึงจำเป็นต้องควบคุมระดับโพแทสเซียมในร่างกายให้อยู่ระดับสมดุล เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นโดยงดผักและผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่นหัวปลี มันเทศ เห็ดฟาง มะเขือพวง ผักชี หน่อไม้ฝรั่ง ฟักทอง หอมแดง ดอกกระหล่ำ ทุเรียน กล้วย มะระกอสุก กระท้อน ผลไม้แห้ง ลูกเกด ลูกพรุน เป็นต้น และรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมน้อยเช่น เห็ดหูหนู บวบ ถั่วพู ฟักเขียว ถั่วฝักยาว หอมหัวใหญ่ แตงโม สับปะรด ชมพู่ เป็นต้น
- โซเดียมคลอไรค์ การกินอาหารที่มีรสเค็มมากเกินไป ยิ่งทำให้ไตทำงานหนักจนเกิดอาการบวมน้ำ ปัสสาวะบ่อย เพราะร่างการต้องขับโซเดียมคลอไรค์อยู่ตลอด หลีกเลี่ยงหรือรับประทานอาหารให้น้อยลง คือ เกลือ น้ำปลา น้ำบูดู ซอสปรุงรส ซี่อิ้ว ซุบก้อน กะปิ อาหารตากแห้ง ไข่เค็ม กุ้งแห้ง เนยแข็ง หลีกเลี่ยงการเติมผงชูรสในอาหาร ผักและผลไม่ที่ดองเค็ม
- ฟอสฟอรัส แหล่งอาหารที่ให้ฟอสฟอรัสสูง และผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ผลิตภัณฑ์จาก นม เช่น เนยแข็ง โยเกิร์ต ไอศกรีม เนื้อสัตว์ติดกระดูก ไข่แดง ช็อคโกเล็ต กาแฟ เบียร์ น้ำอัดลม
- โปรตีน งดอาหารที่มีโปรตีนสูง เนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว ไข่ ถั่ว และผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ นม