รักษาโรคด้วยปัสสาวะตัวเอง (สมาธิ/กำลังใจบำบัด ๓)
ประเด็นนี้ความจริงไม่ใช่เรื่องของสมาธิหรือกำลังใจเสียโดยตรง แต่ก็พออนุโลม นัยว่าเป็นยาที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ในพระไตรปิฎกนั่นเทียว ไม่ได้บัญญัติให้เป็นยาแก้โรค แต่เป็นยา”ป้องกันโรค” กล่าวคือ ทรงบัญญัติให้เป็นกิจของสงฆ์ที่จะต้อง
1) ถือครองไตรจีวร (เท่านั้น ห้ามมีมากไปกว่านี้)
2) ออกบิณฑบาตเป็นนิจ
3) ดื่มน้ำมูตเน่าเป็นนิจ
น้ำมูตเน่านั้นว่ากันว่าหมายถึง น้ำปัสสาวะ (ที่ตัดท่อนหัวและท่อนหางออกไปแล้ว) ที่ดองลูกสมอหรือมะขามป้อมไว้ 90 วัน
ช่างเป็นข้อบัญญัติที่แปลกประหลาดที่สุด แต่ไม่ค่อยได้รับการวิจารณ์กันมากนัก สำหรับผู้เขียนเดาว่าทรงเห็นด้วยญาณว่ามันเป็นยาป้องกันโรคสารพัดชนิดที่จะพึงเกิดขึ้นในตัวเรานั่นเอง
เดาต่อไปว่ากลไกคงเป็นดังนี้...พอมีเชื้อโรคเข้าร่างกายของเราไปฝังตัวอยู่ในเซ็ลต่างๆ เลือดก็จะดูดเอาสารพิษออกมาสังหารด้วยเม็ดเลือดขาว กลายเป็นเชื้อโรคที่ตายแล้ว แต่โครงสร้างทางโมเลกุลยังเหมือนเดิม จากนั้นเลือดก็เอาซากศพมาทิ้งไว้ที่ไต แล้วส่งออกมาทางปัสสาวะ
เดาต่อไปอีกว่า ดังนั้นพอดื่มน้ำปัสสาวะเข้าไป ในกระเพาะ สุดท้ายเลือดนำสารอาหารจากกระเพาะที่ย่อยแล้วเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ก็คงมีเซ็ลเชื้อโรคที่ตายแล้วปนเข้าไปด้วย ระบบสรีระเห็นดังนั้นก็จัดการผลิตเม็ดเลือดขาวมากขึ้นเพื่อจัดการกับเชื้อโรคนั้น แต่คราวนี้ระบบมีการเรียนรู้ว่าเคยเจอไอ้ตัวนี้มาก่อน ก็เลยผลิตเม็ดเลือดขาวพิเศษที่สามารถกำจัดเชื้อโรคตัวนี้ได้ดีเป็นพิเศษ (ระบบส่งสัญญาณระหว่างกันในร่างกายนั้นมีมากหลายและยุ่งยากซับซ้อนมาก เรียกว่าระบบ signal transduction)
แต่พอเม็ดเลือดขาววิ่งไปจะจัดการก็พบว่ามันตายแล้ว ก็ไม่ต้องออกแรง แต่เม็ดเลือดขาวที่มากขึ้นนี้ก็สามารถเอาไปใช้ฆ่าเชื้อตัวเดิมที่ยังไม่ตาย ที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกาย จนหมดสิ้น
วิธีนี้จึงเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายผลิตยาออกมาให้มาบำบัดเชื้อโรคที่กำลังก่อตัวอย่างเงียบๆ ก่อนที่มันจะลุกลามใหญ่โตจนเกินแก้ไข เท่ากับว่าเป็นการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ดังนั้นถ้าทำแบบนี้กันทุกคน อาจจะไร้โรคากันหมดทุกคนก็เป็นได้นะ เพราะเชื่อได้ว่าเม็ดเลือดขาวที่สร้างใหม่นั้นจะเป็นเม็ดเลือดขาวที่ “เฉพาะกิจ” ที่สร้างมาเพื่อเชื้อโรคตัวนี้เท่านั้น ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพสูงเสียยิ่งกว่า “ยาครอบจักรวาล”
แต่ที่ผู้เขียนว่ามานี้เป็นการกินแบบ “วันต่อวัน” แต่ของ พพจ. นั้นต้องดองไว้ 90 วันโน่น จึงน่าจะได้มีการวิจัยกันว่ามันมีผลดีอย่างไร เช่น อาจเป็นการเพาะเชื้อให้เหมาะสมยิ่งขึ้นก็เป็นได้
อีกอย่างคือทำไมต้องเอาเฉพาะท่อนกลางโดยตัดหัวท้ายออก หรือว่าท่อนหัวมันเข้มเกินไปส่วนท่อนท้ายมันก็จางเกินไป
หลวงพ่อชา ผู้ละสังขาร แห่งวัดหนองป่าพง เคยเล่าว่าท่านลองฉันน้ำฉี่ตนเอง ครั้งแรกอีกครึ่งวัน ฉี่ของฉี่ก็ออกมา รอบสองฉี่ของฉี่ของฉี่ก็ออกมาใน 2 ชม. และเวลาจะสั้นลงเรื่อยๆในครั้งต่อไป จนถึงครั้งที่ 6 พอฉันปึ๊บก็ฉี่ปั๊บทันที ...นี่คือสุดยอดแห่งนักวิทยาศาสตร์ไทยโบราณที่โลกควรต้องจารึก ท่านเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อทดลอง
ผู้เขียนมาคิดต่อยอดว่า ฉี่ในรอบต่อๆมาคงมีความเข้มของสารพิษมากขึ้นทุกทีจนไตดูดซับมันออกอย่างรวดเร็วมากขึ้นเป็นลำดับ ส่วนเลือดก็คงเข้มไปด้วยเม็ดเลือดขาวที่จะบำบัดโรคที่กำลังมีอยู่ในร่างกาย เป็นแน่ ...ถ้าจำทำวิจัยในเรื่องนี้ด้วยวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็เป็นการไม่ยากเลย เพียงแต่เจาะเลือดมาวัดปริมาณเม็ดเลือดขาวเทียบกับความเข้มของเชื้อโรคในปสว. แล้วหาสหสัมพันธ์
ถ้าผลวิจัยดังกล่าวออกมาดี ดังนั้นถ้าเป็นโรคร้ายแรง เราอาจใช้วิธีนี้ กระตุ้นร่างกายอย่างรุนแรง เพื่อรักษาโรค ใครทำได้ก่อน รางวัลโนเบลรออยู่
แม้ไม่มีงานวิจัยรับรอง ถ้าป่วยขั้นสุดท้าย ..งัยๆก็ต้องตายแหงๆ อยู่แล้ว ลองดูสักตั้ง เผื่อรอด ไม่เสียหลายอะไร
..ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๘ กย. ๕๓)
ไม่มีความเห็น