เทคนิคคู่มือ Q.C.และขั้นตอนในการแก้ปัญหา
เทคนิคคู่มือ Q.C.และขั้นตอนในการแก้ปัญหา การแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพของกลุ่มสร้างเสริมคุณภาพนั้น จำเป็นต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของการใช้เทคนิคคู่มือ Q.C. ที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะในรูปแบบของการทำกิจกรรมและการประชุมกลุ่มสร้างเสริมคุณภาพถ้าหากได้ใช้เทคนิคคู่มือ Q.C. อย่างถูกต้องและถูกขั้นตอนแล้ว จะทำให้การแก้ปัญหาต่างๆ มีประสิทธิภาพมาก เทคนิคการแก้ปัญหามีอยู่ ๕ ขั้นตอน คือ
ขั้นที่ ๑ เลือกหัวข้อปัญหา การเลือกหัวข้อปัญหาควรจะเลือกโดยการประชุมกลุ่มเพื่อหารือกัน
หาหัวข้อที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันหัวข้อที่เลือกควรมีความสำคัญต่อสมาชิก หรือต่อหน่วยงานของกลุ่ม หรือสำคัญต่อส่วนรวม
หลักการในการเลือกปัญหาที่จะนำมาทำกิจกรรม มีดังนี้
(๑) เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเท่านั้น ไม่ใช่เป็นปัญหาเกี่ยวกับสวัสดิการค่าจ้าง ฯลฯ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานของตนโดยตรง ซึ่งไม่สอดคล้องกับนโยบายของหน่วย
(๒) ปัญหานั้นต้องสามารถแก้ไขได้ส่วนใหญ่ โดยสมาชิกของกลุ่มเองไม่ใช่ผลักภาระไปให้แผนกอื่น หรือหน่วยอื่นเป็นผู้แก้ปัญหา โดยต้องเข้าใจว่าทางกลุ่มจะต้องร่วมมือกัน แก้ปัญหาเองโดยอาศัยทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในมือขณะนั้นจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรก็ต้องได้รับความเห็นและการยอมรับจากผู้บังคับบัญชาก่อน
(๓) ปัญหานั้นควรเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องหรือเป็นความต้องการของสมาชิกส่วนใหญ่ของกลุ่ม
ซึ่งถ้าปล่อยปัญหานั้นทิ้งไว้ ผลเสียจะเกิดขึ้นกับสมาชิกส่วนใหญ่ แต่ถ้าได้ช่วยกันแก้ปัญหานั้นผลดี
จะเกิดขึ้นแก่สมาชิกส่วนใหญ่
(๔) ควรเป็นปัญหาที่ลดความลำบากให้แก่ตัวเองและกลุ่ม เพราะการทำกิจกรรมกลุ่มสร้างเสริมคุณภาพเป็นการทำเพื่อตัวเราเองก่อน แล้วผลนั้นจึงจะเกิดประโยชน์ต่อหน่วยในภายหลัง
(๕) ควรเป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้สำเร็จภายใน ๖ เดือน เพราะถ้าใช้เวลานานกว่านี้อาจจะทำให้สมาชิกของกลุ่มหมดกำลังใจก่อนที่จะเห็นความสำเร็จและภูมิใจในความสำเร็จของตน
(๖) ภายหลังที่ประชุมตกลงเลือกปัญหาได้แล้ว ก่อนที่จะลงมือแก้ไขปัญหานั้นจะต้องแจ้งหัวข้อเรื่องให้ผู้รับผิดชอบทราบ และยอมรับเสียก่อน (ลงทะเบียนกิจกรรม)
(๗) ทางกลุ่มต้องสามารถให้เหตุผลได้ว่าทำไม หรือมีเหตุผลอะไรจูงใจในการเลือกปัญหานั้นมาทำกิจกรรม
(๘) ในกรณีที่กลุ่มบางกลุ่มไม่สามารถหาปัญหามาทำกิจกรรมได้ โดยเฉพาะในระยะแรกๆ เพราะมองอะไรก็ไม่เป็นปัญหา เนื่องจากคุ้นเคยกับปัญหาไปหมดแล้ว ในกรณีนี้ ผู้บริหารอาจจะทำรายชื่อปัญหาต่างๆ ของหน่วย แล้วเสนอไปทางกลุ่มให้เลือกปัญหาเหล่านั้นไปลองทำกิจกรรม ทั้งนี้กลุ่มจะต้องทำด้วยความสมัครใจ
(๙) อาจใช้หลัก ๕ W + H ค้นหาปัญหาได้
WHAT (อะไร) WHEN (เมื่อไร) WHERE (ที่ไหน)
WHY (ทำไม) WHO (ใคร) HOW (อย่างไร)
การจะได้หัวข้อปัญหาที่ดีควรทำตามลำดับข้อปฏิบัติดังนี้
๑ เก็บข้อมูล เก็บข้อมูลในระหว่างการทำงาน หรือการปฏิบัติภารกิจในช่วงใด
ช่วงหนึ่ง โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังนี้.-
(๑) ใช้ตารางตรวจสอบ (Check Sheet)
(๒) โดยประสบการณ์ของหัวหน้า หรือสมาชิกและต้องการใช้ตารางตรวจสอบ
(๓) โดยการระดมพลังสมอง และด้วยการใช้ตารางตรวจสอบ (Check Sheet)
๒ จำแนกข้อมูล (Stratification) นำข้อมูลจากตารางตรวจสอบในลำดับความสำคัญโดยแผนภูมิ พาเรโต (Pareto Diagram) และเลือกหัวข้อที่มีความสำคัญสูง มาเป็นหัวข้อปัญหา เพื่อทำการแก้ไขพร้อมกับตั้งเป้าหมายและกำหนดระยะเวลา
ขั้นที่ ๒ วิเคราะห์สาเหตุ ทำตามลำดับข้อปฏิบัติดังนี้.-
๑ ใช้แผนภูมิก้างปลา(Fish-Bone Diagram)ระดมพลังความคิดเพื่อหาสาเหตุคร่าวๆ ออกมา
๒ ใช้ข้อมูลประกอบกับเทคนิคเครื่องมือ และประสบการณ์ของสมาชิก ระบุสาเหตุที่แท้จริงและที่สำคัญในแผนภูมิก้างปลา (Fish - Bone Diagram) ซึ่งเป็นสาเหตุ ทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ของสาเหตุ
๓ เรียงลำดับสาเหตุต่างๆ ไว้เป็นข้อๆ เพื่อหาวิธีแก้ไข
ขั้นที่ ๓ เลือกวิธีและทดลองแก้ไข ทำตามลำดับข้อปฏิบัติดังนี้.-
๑ ใช้แผนภูมิแอร์ (Air Diagram) เลือกวิธีหรือแนวทางที่ดีที่สุด เพื่อเป็นทางแก้
ของสาเหตุแต่ละข้อ
๒ นำวิธีหรือแนวทางที่เลือกได้แล้วมาทดลองแก้หรือทดลองปฏิบัติโดยให้ระยะเวลาหรือปริมาณงานที่ทดลองปฏิบัติเท่ากับระยะเวลา หรือปริมาณที่ทำงานในช่วงการเก็บข้อมูลตามข้อ ๑.๑
ขั้นที่ ๔ ติดตามผล ติดตามผลในระหว่างทดลองแก้ไขข้อ ๓.๒ โดยทำตามลำดับข้อปฏิบัติ
ดังนี้.-
ใช้ตารางตรวจสอบ (Check Sheet) เช่นเดียวกับครั้งแรกตามข้อ ๑.๑ ก่อนทำการแก้ไข
๒ นำข้อมูลมาจำแนก หรือแสดงด้วยกร๊าฟและแผนภูมิพาเรโต (Pareto Diagram) เช่นเดียวกับข้อ ๑.๒
ขั้นที่ ๕ ทำมาตรฐานการปฏิบัติ เมื่อเปรียบเทียบผลการทดลองในขั้นที่ ๔ กับข้อมูลเดิม
และเป้าหมายในขั้นที่ ๑ แล้ว ถ้าปรากฏว่าได้ผลตามเป้าหมาย หรือดีกว่าเป้าหมายก็ทำมาตรฐาน
การปฏิบัติงานไว้ โดยทำตามลำดับข้อปฏิบัติ ดังนี้.-
๑ ตรวจดูวิธีหรือแนวทางที่นำมาทดลองแก้ในขั้นที่ ๓ ลำดับที่ ๓.๒ ที่ให้ผลดีที่สุดและเหมาะสมดีที่สุดแล้วนำมาเขียนใหม่
๒ นำวิธีที่ได้ในข้อ ๕.๑ และวิธีเพิ่มเติมอื่นๆ ถ้าจำเป็นมาเรียงลำดับและเขียนเป็นวิธี
การปฏิบัติงาน โดยเขียนให้กะทัดรัดเหมาะสมและสะดวกในทางปฏิบัติแล้วใช้เป็นหลักปฏิบัติงานประจำต่อไป
เครื่องมือเครื่องใช้
(๑) ตารางตรวจสอบ (Check Sheet) เป็นตารางที่ใช้ในการเก็บตัวเลขข้อมูลขั้นต้น ในระหว่างกระบวนการผลิตหรือการปฏิบัติงาน เพื่อจะนำตัวเลขเหล่านั้นไปจัดทำแผนภูมิควบคุม (Control Chart)
ทำฮิสโตแกรม (Histogram) ทำแผนภูมิพาเรโต (Pareto Diagram) หรือวิเคราะห์เพื่อแก้ปัญหาในกระบวนการผลิตหรือปัญหาอื่นๆ ในตอนเริ่มต้นกิจกรรมและตอนติดตามผล
(๒) การจำแนกข้อมูล (Stratification) เป็นการทำสิ่งของหรือข้อมูล เช่น ของเสีย หรือกระบวนการ
เช่น เครื่องจักรเสียบ่อยๆ ฯลฯ มาแยกเป็นกลุ่มหรือเป็นประเภทหรือตามการปฏิบัติงานของพนักงาน
หรือตามวัตถุดิบเพื่อจะให้สามารถหาสาเหตุและแก้ปัญหาได้ การแยกประเภทนี้อาจจะแยกจากลักษณะ
ต่อไปนี้
- แยกตามลักษณะ หรือรอยตำหนิที่เกิดของเสีย
- แยกตามสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา
- แยกตามผู้ปฏิบัติงาน หรือตามเครื่องจักรที่ใช้
- แยกตามรุ่นวัตถุดิบ หรือตามบริษัทส่งวัตถุดิบ
นอกจากที่กล่าวมาแล้วอาจจะแยกโดยคุณลักษณะอย่างอื่นแล้วแต่ความเหมาะสม เช่น
จากเครื่องจักรที่ผลิตต่างกัน เวลาผลิต หรือผลัดจากการผลิตต่างกันเช่นนี้ เป็นต้น
(๓) แผนภูมิพาเรโต (Pareto Diagram) คือการเขียนกราฟแท่งขนาดของข้อมูลเพื่อใช้เปรียบเทียบดูค่ากับความสำคัญของข้อมูล หรือปริมาณของปัญหา หรือข้อบกพร่องเพื่อจะเป็นแนวทางในการที่จะพิจารณาแก้ไขปัญหาว่าควรจะแก้ไขปัญหาใดก่อนหลัง ใช้ในโอกาสแยกปัญหาที่สำคัญ (Vital Few) ออกจากปัญหาที่ไม่สำคัญ (Trivial Many) ส่วนมากจะใช้ในตอนชี้ประเด็นปัญหา และในขั้นการเปรียบเทียบผล
(๔) แผนภูมิก้างปลา (Fish - Bone Diagram) คือการเขียนไดอะแกรม หรือแผนภูมิเพื่อแสดงสาเหตุต่างๆ ที่มีผลต่อลักษณะเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง ลักษณะนั้นอาจเป็นทางด้านคุณภาพ ลักษณะของเสีย อาการเสียของเครื่องจักร ฯลฯ แล้วเราจะมาคิดค้นสาเหตุที่มีผลเกี่ยวข้องกับลักษณะเฉพาะนั้น เขียนแสดงลงในแผนภูมิลักษณะคล้ายก้างปลาการใช้แผนภูมิ ก้างปลา (Fish-Bone Diagram) เพื่อ
- ให้ทุกคนมีส่วนร่วม (Participate by all)
- เป็นการระดมแนวความคิดกว้างๆ หรือสาเหตุกว้างๆ ของปัญหาจากสมาชิก
(๕) แผนภูมิแท่งและฮิสโตแกรม (Bar Chart and Histogram) แผนภูมิแท่ง คือกร๊าฟที่ค่าบนแกนแต่ละค่าแสดงค่าเฉลี่ยที่คลุมปริมาณบนแกน X คลุมตลอดช่วงของ X ส่วนฮิสโตแกรม (Histogram) นั้นเป็นแผนภูมิแท่ง (Bar Chart) ที่เขียนระหว่างความถี่ กับคุณสมบัติ X เพื่อดูการกระจาย
(๖) กราฟและแผนภูมิควบคุม (Graph and Control Chart)
- กราฟแท่ง,เส้น แสดงสถานภาพของปัญหาใช้ในช่วงมูลเหตุจูงใจตอนเริ่มต้นกิจกรรมและใช้ตอนเปรียบเทียบผล
- กราฟวงกลม (Pie Chart) แสดงสถานภาพก่อนการแก้ปัญหาและตอนเปรียบเทียบผล แสดงสัดส่วนเป็นเปอร์เซนต์
- แผนภูมิควบคุม (Control Chart) คือกร๊าฟที่มี limit บน และ limit ล่าง ใช้ติดตามกระบวนการ (Process) โดยเฉพาะที่ทำมาตรฐานไว้แล้ว ใช้ในตอนติดตามผล แผนภูมิควบคุมมีหลายชนิดแล้วแต่คุณสมบัติ ลักษณะการกระจายวัตถุประสงค์ของการใช้
(๑) X - R Chart เป็นแผนภูมิควบคุมที่ใช้กับคุณสมบัติต่อเนื่อง ( X ) ทุกชนิด เป็นแผนภูมิแสดงค่าเฉลี่ย ( X ) และค่าพิสัย ( R ) ควบคุมกัน เพื่อให้เห็นแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงของคุณสมบัติได้ดีกว่า X - Chart หรือ R - Chart อย่างหนึ่งอย่างใดเพียงอย่างเดียว
(๒) P-Chart ในกรณีที่วัดค่าคุณสมบัติ Attribute เพื่อการทำแผนภูมิควบคุม มักจะใช้ P-Chart หรือ U-Chart แล้วแต่กรณี เมื่อ P เป็นอัตราส่วนของจำนวนชิ้นที่เสียต่อจำนวนชิ้นที่ตรวจสอบ
(๓) U-Chart เป็นแผนภูมิแสดงรอยตำหนิหรือจำนวนชิ้นส่วน หรือส่วนประกอบที่ด้อยคุณภาพต่อจำนวนสิ่งของในกลุ่มหรือใน ๑ หน่วย U-Chart มักจะใช้ในกรณีที่จำนวนสิ่งของในแต่ละกลุ่มหรือในแต่ละหน่วยแตกต่างกัน แต่นำมาเทียบเป็นหน่วยหรือเป็นกลุ่มเท่ากัน
(๗) แผนภูมิกระจาย (Scatter Diagram) เป็นตารางกร๊าฟที่ไช้แสดงคุณภาพ ๒ อย่างบนแผนเดียวกัน คุณสมบัติหนึ่งบนแกนตั้ง และวัดอีกคุณสมบัติหนึ่งบนแกนนอน มักจะใช้ทดสอบหาความสัมพันธ์ (Correlation) ของคุณสมบัติ ๒ อย่าง เช่น การทำกาวโดยใช้กาวผงละลายน้ำแล้วทดสอบหา % ของเนื้อกาวและความหนืด (Viscosity) ของกาว
(๘) แผนภูมิแอร์ (Air diagram) เป็นแผนภูมิกระทำกระทบทางเลือก หรือ Action – Impact -Resolution Diagram ถ้าการกระทำใดๆ ทำให้เกิดผลกระทบในทางเสียก็พยายามหาเงาหรือผลกระทบในทางดี ซึ่งตรงกันข้ามผลเสียนั้น แล้วหาวิธีการกระทำใหม่ที่จะทำให้เกิดผลกระทบที่ดี การกระทำที่เป็นทางเลือก (Resolution)นั้นก็จะช่วยในการขจัดสิ่งที่ไม่ดีหรือไม่ต้องการออกไปได้
ขอบคุณมากค่ะ จะนำไปใช้ดู