ศาสตร์แห่งธรรมโอสถ
เท่าที่ผมได้ศึกษามา มีอย่างน้อยสองหลวงพ่อใหญ่ที่ยืนยันว่า สมาธิช่วยรักษาโรคได้ คือหลวงพ่อชา (วัดหนองป่าพง อุบล) และ หลวงพ่อลี (วัดอโศการาม สมุทรปราการ) เพราะทั้งสองท่านใช้มันรักษาโรคมาอย่างโชกโชน เช่น ลพ.ชา ใช้รักษามาเลเรีย ลพ. ลีใช้รักษาโรคแผลในกระเพาะ
เมื่อประมาณ พศ. ๒๕๓๐ ผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านหนังสือของนายแพทย์จากมหาลัยฮาร์วาร์ด (จำชื่อผู้แต่ง และ ชื่อหนังสือไม่ได้) ท่านผู้นี้ว่าไปแล้วน่าจะได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลเป็นอย่างยิ่ง เพราะท่านค้นพบว่าการทำสมาธิแบบชาวพุทธนั้นสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพิ่มมหาศาล
วิธีการของท่านคือ ศึกษาจากพระธิเบตที่เข้าสมาธิ (โดยความร่วมมือจากท่านดาไลลามะ) ท่านทำการวัดคลื่นสมอง พร้อมกับเจาะเลือดมาตรวจหาระดับภูมิต้านทานเป็นระยะ พอเอากราฟทั้งสองอย่างมาพล็อตร่วมกัน จะเห็นได้อย่างชัดว่า พอคลื่นสมองนิ่ง (เข้าสมาธิ) ระดับภูมิต้านทานจะพุ่งกระฉูดทันที
ดังนั้นถ้ามีโรคต่างๆในร่างกาย ก็คงถูกภูมิต้านทานที่เพิ่มนี้เข้าทำลายเสียมาก จนโรคร้ายอาจหายได้
สมัยที่ผู้เขียนบวชอยู่กับหลวงพ่อ”แคน” (นามสมมติ) ท่านได้พาผู้เขียนออกเดินธุดงค์ไปในป่าลึกนับเดือน เคยเล่าว่าท่านรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ด้วยยาสมุนไพรจำนวน 35 คน ทั้งหมดป่วยอาการสุดท้ายที่ถูกจำหน่ายออกมาจากรพ.หลวง เพื่อให้กลับมาตายที่บ้าน อาการเหมือนกันคือผอมโซ เดินไม่ไหว ต้องหามเข้ามาทุกราย บางราย น้ำเหลืองเยิ้มตามผิวหนังด้วย เมื่อได้รับการักษาด้วยยาสมุนไพรจากท่านใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ปรากฏว่าหาย 33 ตาย 2 (ซึ่งทั้ง 35 นี้ตามคำวินิจฉัยของหมอหลวงควรตายหมดทั้ง 35 ในสองสัปดาห์)
ทีว่า “หาย” หมายถึงร่างกายกลับมาแข็งแรง ทำงานได้เป็นปกติ
ท่านเล่าว่าไม่ได้ให้กินยาเฉยๆ แต่สอนธรรมะและให้ทำสมาธิด้วย ผมเลยถึงบางอ้อว่า ใช้สองอย่างผสานกัน
แต่อนิจจาแทนที่ท่านจะได้รับรางวัลโนเบลกลับต้องหลบและเลิกการรักษาในที่สุด เพราะถูกพวกสาธาฯมาจ้องเล่นงานหาว่าเป็น “หมอเถื่อน”
..ไอ้สาธาฯพวกนี้มันเถื่อนจริงๆ คิดแล้วอยากแช่งให้พวกมันติดเอดส์กันให้หมด แล้วไปรักษาในโรงพยาบาลหลวงแบบวิถีฝรั่งที่พวกมันบูชา แล้วถูก “จำหน่าย” ให้กลับไปตายที่บ้านเมื่ออาการขั้นสุดท้าย
...วันนั้นมันคงซมซานไปหาหลวงพ่อแคนเป็นแม่นมั่น ..อยากรู้นักว่าหลวงพ่อแคนจะมีเมตตารักษาพวกมันไหม?
..คนถางทาง (๑ กย. ๕๔)
ไม่มีความเห็น