ในระยะหลายวันที่ผ่านมา ผมได้พยายามจัดระบบความรู้ของตัวเอง ทั้งโดยการพิจารณาไต่ตรอง สรุปบทเรียน ซักถาม พูดคุย และสนทนาธรรม ใน "กลุ่มเพื่อน" หลากหลายกลุ่ม หลายมิติทางสังคม ที่มีจุดประกายความคิดร่วม หรือมีจริตในมิตินั้นๆ ใกล้เคียงกัน ที่พอจะคุยกันได้โดยวงไม่แตกก่อนสนทนาจบ
ก็ได้ประเด็นหลักๆ ว่า
คนที่มีความทุกข์นั้น
นอกจากเราจะแบกทุกข์พื้นฐานของตัวเองแล้ว คนที่ยังหลงทางส่วนใหญ่(รวมทั้งผม) ยังรับอาสา ทั้งทางตรง ทางอ้อม ทั้งรู้ตัว และไม่รู้ตัว ทั้งเจตนาและไม่เจตนา แบกทุกข์ของคนรอบข้าง ของชุมชน ของสังคม และสิ่งแวดล้อมเข้าไปอย่างไม่ลืมหูลืมตา
แล้วเราจะ "พ้นทุกข์" ได้อย่างไร
มาถึงจุดนี้ คนที่กำลังหลงทาง หลงแบก (แบบแบกไม่ไหว วางไม่เป็นนั่นแหละ) ก็จะถามว่า
งั้นเราก็อยู่อย่างไม่สนใจใคร ไม่มีความรับผิดชอบนะซิ
เมื่อมีประเด็นสงสัย ผมจึงย้อนกลับมาคิดคำนึงถึง "ครูธรรมชาติ" ของผม ที่มีตัวอย่างที่เป็นจริง
คือ
สรรพสิ่งที่มี ที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติ ไม่ว่า พิช หรือสัตว์ต่างๆ ที่ดำรงอยู่ แบบเพื่อนร่วมกองทุกข์ อย่างพึ่งพาอาศัยกัน
ที่สรรพสิ่งเหล่านั้น น่าจะอยู่ในกองทุกข์ "เกิดแก่เจ็บตาย" อย่างไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเดือดร้อน ไม่ลำบาก ทำได้แค่ไหนก็พอใจแค่นั้น
ซึ่งประมาณว่า เราก็ไม่ต้องมี "ความทุกข์" จากการ "แบกทุกข์" ของคนอื่น ของสังคม ของสิ่งแวดล้อม
แต่ก็สามารถทำหน้าที่ของตนเองอย่างถูกต้อง สมบูรณ์ที่สุด เท่าที่จะทำได้ โดย "ไม่ทุกข์"
ผมกำลังคิด และจัดระบบความคิดในเรื่องนี้ และนำมาบันทึกช่วยจำ กันหลงลืม และเผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้เป็นผู้ร่วม "กองทุกข์" เพื่อจะได้ลด "ความทุกข์" ลงครับ
อ่านบันทึกนี้แล้วกลับมาคิด เป็นจริงแบบที่อาจารย์ว่าเลยค่ะ เรามักจะไปแบกทุกข์แทนคนอื่น แถมยังฟุ้งให้น่ากลัวไปกว่าความเป็นจริง พอเหตุการณ์นั้นผ่านพ้นไป มันไม่น่ากลัวอย่างที่เราคิดเลย แต่เราทุกข์กับมันไปเสียแล้ว
ต่อไปนี้จะพยายามเตือนตัวเองไม่ให้แบกทุกข์แทนคนอื่น แต่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่เบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น
ขอบคุณสำหรับข้อคิดที่มีประโยชนืค่ะ
อ่านแล้ว พบความสุขบนความทุกข์
พบความถูกต้อง...ในสิ่งที่เราละเลย
...
ผมชื่นชมแนวคิดของอาจารย์มากนะครับ
ทำหน้าที่ แบบ "ไม่แบกทุกข์ของใคร"
•โดยเพียงทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ ครบถ้วน สมบูรณ์ที่สุด เท่าที่ทำได้
•แค่ไหน ก็แค่นั้น
•แล้วสิ่งที่อยู่รอบข้างก็จะได้ประโยชน์และพึ่งพากันได้ "โดยธรรมชาติ"
ด้วยความรักและเคารพครับ
ได้เเง่คิดดีครับ คงเป็นจริงดัง อ. ว่า ทุกข์หลายๆอย่าง มักเกิดจากตัวเราเองทั้งสิ้น หากเราจัดการตัวเองให้ดีแล้ว ที่ได้เป็นลำดับแรกเลยคือไม่สร้างทุกข์ให้ตนเอง และคนรอบข้าง แค่นี้เราก็คงไม่ต้องมาทุกข์ กับสิ่งรอบข้าง จนเกินไป
แต่การปล่อยว่างบางเรื่องทิ้งไปบ้าง ก็ทำให้เราไม่ทุกข์ได้ดีอีกทางหนึ่งครับ
ขอบคุณครับ ที่มาช่วยเสริมประเด็นให้น่าเชื่อถือ น่าอ่านมากยิ่งขึ้นครับ
สวัสดีค่ะ แวะมาทักทายอาจารย์ค่ะ
เป็นมนุษย์นี่ลำบากนะค่ะ
นอกจากตัวเองมีทุกข์แล้วไม่พอ
ต้องเอาทุกข์ของคนอื่นมาถือ(แบก)ให้หนักอีก
ด้วยความรัก หวังดี เป็นห่วง กังวลคนรอบข้าง
ทำให้ต้องมีทุกข์และหาหนทางดับทุกข์ไม่ได้สักที
เมื่อพิจารณาจากแนวพุทธวิถีในเรื่องการบำเพ็ญ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ..
อาจจำแนกเจตนารมณ์ของการบำเพ็ญต่อการพ้นทุกข์ของ :
1.ผู้อื่นในข้อของ ศีล และ ทาน
2.ตัวเราเองในข้อของ สมาธิ และ ปัญญา
ผลสำเร็จตามเจตนารมณ์ข้างต้นมากน้อยเพียงใด ย่อมขึ้นกับ ศรัทธา โอกาส และความพร้อมแห่งปัจจัย..เช่นนี้แล้วย่อมไม่นำมาซึ่งการแบกทุกข์ใดๆ ..ขอให้กำลังใจค่ะ :)
จะจำไว้ครับ
ไม่แบกทุกข์ของใคร
ครับผม
ชัดเจนค่ะ อาจารย์ ^_^
ท่านว่า
คนที่มี "ตา" ดวงที่เก้า และสุดท้าย "อตัมมยตา"
จะเห็นสิ่งที่มันเป็น อย่างแท้จริง จนเกิดความเบื่อหน่ายกับความไม่เที่ยง ความไม่จีรัง
จะเป็นการพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
คงอีกไกลสำหรับคนบาปหนาอย่างผม
ขอบคุณครับ ที่มาชี้ทาง ที่พอรู้แบบงูๆปลาๆ และก็ยังไปไม่ถึงไหนเลย
สาธุ
"อตัมมยตา" นั้น ท่านอาจารย์มักบอกด้วยประโยคมันๆ จำได้ง่ายว่า .. "กรู ไม่เอากับ มรึง แล้ว โว้ย "