กินอาหารครบห้าหมู่ระวังตายหดหู่เหมือนหมูฝรั่ง


ว่าไปแล้วลอกการกินน้ำยังโดนต่อเดียว แต่ลอกอาหารนี้โดนสองต่อ คือหนึ่งอาหารบางรายการอาจมีปริมาณมากเกินไป และสองระบบย่อยเราก็อาจย่อยไม่หมด เช่น ไขมัน จากนมเป็นต้น

กินอาหารครบห้าหมู่ระวังอ้วนเหมือนหมูฝรั่ง

 

ผมได้เขียนเรื่องคนไทยดื่มน้ำมากเกินไปตามทฤษฎีฝรั่ง ระวังไตวายตายไวไปแล้ว ( http://www.gotoknow.org/blog/trailblazer/453844 ) วันนี้ขอหันมาเรื่องอาหารบ้าง ซึ่งประเด็นก็คล้ายกับน้ำ คือผมเห็นว่านักสุขภาพไทยก็ไปลอกตำราฝรั่งมาให้คนไทยใช้ทั้งดุ้นอีกแล้ว จึงไม่แปลกใจเลยว่าวันนี้คนไทยเราเป็นโรคน้ำหนักเกินพิกัดกันมาก โดยเฉพาะในหมู่เด็กและวัยรุ่น ซึ่งแน่นอนว่าโรคภัยทั้งหลายจะตามมาอีกเป็นระลอก

 

เอาเรื่องนมก่อนก็ได้ ตั้งแต่ประมาณ พศ. ๒๕๓๕ ผมได้เขียนบทความในเน็ตหลายบท (ตั้งแต่สมัยเน็ตยุคแรกของเมืองไทย) ต่อต้านเรื่องกินนมวัวของคนไทย แต่ไม่เป็นผล ตอนหลังเห็นมีนายแพทย์บางท่านก็เขียนบทความทำนองเดียวกัน  ก็ดูเหมือนว่าไม่เป็นผล รัฐบาลก็ยังส่งเสริมให้เด็กกินนมวัวกันอยู่นั่น

 

ผมเชื่อว่าการกินนมวัวของคนไทยจะก่อสารพิษตกค้างในร่างกายได้มาก  เพราะวิวัฒนาการของคนไทยนั้นสร้างน้ำย่อยของเราให้ย่อยนมได้ไม่ดีเท่าคนตะวันตก (ตอนหลังมาค้นคว้าเพิ่มเติมก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริงเช่นนั้น)  สังเกตได้จากพวกไปเรียนเมืองนอก กินนมวัวแล้วเกิดอาการท้องเสียกันหลายคน นอกจากนี้มันยังมีไขมันมาก   

 

อีกตัวอย่างคือการดื่มแอลกอฮอล์นั้นคนเอเชียมักเกิดอาการหน้าแดง ส่วนฝรั่งไม่เกิด ฝรั่งเลยเรียกอาการนี้ว่า asian flushing syndrome นี่ก็คงเพราะว่าน้ำย่อยสนองตอบต่างกัน เพื่อนหญิงคนหนึ่งเธอดื่มแล้วหน้าแดง สืบไปมาพบว่ามีทวดคนหนึ่งเป็นอินเดียแดง ก็คงได้ลักษณะด้อยมา

 

น้ำย่อยและระบบย่อยอาหารคนไทยเราต่างจากฝรั่งแน่นอน ดังนั้นอาหารการกินต้องต่างกัน จะไปกินตามเขาไม่ได้  เช่น ฝรั่งเขาบ่นว่า กินแป้งแล้วทำให้อ้วน ก็คงใช่ของเขาแหละ เพราะเขาทำวิจัยพิสูจน์ไว้แล้ว แล้วเราก็ไปเชื่อตามฝรั่งทั้งที่แต่โบราณนานมาบรรพชนเราก็กินแป้งเป็นหลัก ก็ไม่เห็นว่ามีใครอ้วน นั่นหมายความว่าระบบเราย่อยแป้งได้ดีกว่าฝรั่งนั่นเอง  (แลกกับที่เราย่อยนมสู้เขาไม่ได้)

 

ลองมาดู รายการปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน สำหรับคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป (เดาว่าออกมาจากกรมอนามัย) โดยคิดจากความต้องการพลังงานวันละ 2000 กิโลแคลอรี่ จะได้ดังนี้ ไขมันทั้งหมด น้อยกว่า 65 กรัม  กรดไขมันอิ่มตัว น้อยกว่า 20 กรัม คอเลสเตอรอล น้อยกว่า 300 มิลลิกรัม คาร์โบไฮเดรต ทั้งหมด 300 กรัม ใยอาหาร 25 กรัม โซเดียม น้อยกว่า 2,400 มิลลิกรัม

 

ผมไปตรวจดูปรากฏว่าตัวเลขทั้งหมดนี้ลอกฝรั่งอเมริกันมาทั้งดุ้น เหมือนกับลอกการกินน้ำวันละ 8-10 แก้วไม่ผิด

 

ว่าไปแล้วลอกการกินน้ำยังโดนต่อเดียว แต่ลอกอาหารนี้โดนสองต่อ คือหนึ่งอาหารบางรายการอาจมีปริมาณมากเกินไป และสองระบบย่อยเราก็อาจย่อยไม่หมด เช่น ไขมัน จากนมเป็นต้น

 

สำหรับแคลอรี่นั้นถ้าคิดว่าฝรั่งเฉลี่ยหนัก 80 กก. คนไทยหนัก 60 แคลอรี่เราก็จะลดจาก 2000 มาเหลือเพียง 1500 ทันทีแล้ว  อีกทั้งฝรั่งนั้นเขาอยู่เมืองหนาว ร่างกายเสียความอบอุ่นออกไปทางผิวหนังมากกว่าเรา เราไม่เสียตรงนั้นก็ลดแคลอรี่เราลงได้อีก (เรื่องนี้ให้เวลาผมสักหนึ่งวันผมจะคำนวณหาให้) แล้วยังการหายใจ..อันนี้ง่าย จะคำนวณให้เดี๋ยวนี้เลย..

 

(หลังจากใช้เวลาประมาณ 5 นาที) ได้ดังนี้คือ ฝรั่งเสียไป 292 แคล. ไทย 65 แคล. ต่างกันตั้ง 230 แคล.  (สมมติว่าฝรั่งหายใจ 50 ลิตรต่อนาทีหายใจเข้าที่ 20 C ออกที่ 37C ส่วนไทยตัวเล็กหายใจ 37.5ลิตร เข้าที่ 32 ออกที่ 37C) การสูญเสียทางผิวหนังอาจไม่มากนัก เพราะทำงานในห้องปรับอากาศคล้ายๆ กัน แต่การเดินทางนอกอาคารก็มี ตีเสียว่าสูญไปมากกว่าเราอีก 70 ก็เป็น 300 พอดี

 

ถึงตอนนี้แคลอรี่คนไทยเราเหลือเพียง 1200 แล้วนะ นอกจากนี้พวกฝรั่งส่วนมากเขามีกิจกรรมมากกว่าเรา เช่น เขาชอบเดินไกลระหว่างตึก (คนไทยนิดเดียวก็ขับรถแล้ว) ต้องโกยหิมะออกจากลานบ้านในหน้าหนาว หน้าร้อนก็ต้องตัดหญ้าในสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ทุกสัปดาห์ เติมน้ำมันรถเขาก็เติมเอง ทำงานบ้านเอง (ไม่มีคนรับใช้) ถ้าตัดพลังงานพวกนี้ออกไปอีกเราอาจต้องการเพียง 1,000 แคล.เท่านั้นก็เป็นได้

 

ดังนั้นข้อกำหนด 2000 แคล.ต่อวันนั้นอาจมากเกินไปถึง 2 เท่าสำหรับคนไทยชั้นกลางโดยเฉลี่ย มิน่าเล่าวันนี้เราจึงเห็นอาเสี่ย ข้าราชการ (แม้แต่ทหารตำรวจ) อ้วนฉุกันเป็นแถว  ส่วนเด็กๆนั้นไม่ต้องพูดถึง มันกลายเป็นปัญหาแห่งชาติไปแล้ว นศ.ในมหาลัยหลายคนอ้วนมากขนาดว่าถ้าเป็นสมัยก่อนเอาไปแสดงหนังเป็นตัวตลก (สังขาร) ได้เลย

 

แม้ว่าถ้าลอกจำนวน 2000 แคล. จากเขา สัดส่วนแคลอรี่จากแหล่งต่างๆก็ไม่ควรตรงกัน เช่น ไขมัน 65 กรัม อาจลดเป็น 40 กรัม เพราะว่าเขาอยู่เมืองหนาว ต้องการไขมันไปสร้างชั้นเยื่อที่ผิวหนังเพื่อป้องกันความร้อนสูญเสีย  ของเราไปสร้างเยื่อนี้จะทำให้สมดุลความร้อนร่างกายบกพร่อง โรคอื่นจะตามมาได้ ส่วนคาร์โบฯ 300 กรัม อาจต้องเพิ่มเป็น 350 เป็นต้น เพราะเราย่อยแป้งได้ดีกว่าเขา

 

น่าสังเกตว่าวัวควาย มันก็กินตามประสามันอยู่หมู่เดียว ก็เห็นว่าร่างกายมันอ้วนพีและแข็งแรงดีนะ สกัดหญ้ามาสร้างน้ำนมธาตุอาหารสูงมาให้ลูกคนกินได้เสียอีก เพราะระบบย่อยมันก็วิวัฒน์ตามเพื่อย่อยสกัดธาตุอาหารมาให้พอเพียง

 

บรรพชนเราส่วนใหญ่กินแป้ง ผัก ปลา ก็เห็นว่าท่านแข็งแรงกันดี คงเพราะว่าน้ำย่อยเกิดการปรับตัวลองผิดลองถูกมานานเพื่อให้สมดุลกับอาหาร จึงสกัดธาตุอาหารมาบำรุงเลี้ยงร่างกายได้อย่างลงตัวกับสภาพร่างกายและภูมิอากาศ

 

สมัยเด็กผมเห็นคนอีสานตัวเล็ก แต่กินข้าวจุมาก คลุกน้ำปล้าร้าจิ้มผักกระถิน แต่พวกเขาแบกถุงข้าวสาร 100 กก. ขึ้นเรือเอี้ยมจุ๊นได้สบาย (เดินขึ้นบันไดชันอีกต่างหาก)  แถมสูบบุหรี่ไปพลาง

 

ที่น่าสนใจที่สุดคือพระป่าอีสาน ซึ่งท่านก็ฉันแต่แป้งกะผักเป็นหลัก จิ้มกะแจ่วต่างๆ แถมฉันมื้อเดียว  แต่ทำไมส่วนใหญ่อายุเกิน 90 หลายองค์เกิน 100  ความฉลาด IQ ท่านก็ไม่เป็นรองใครอีกด้วย

ภาษิตฝรั่งว่า

ยูอาร์ว๊อตยูอีท นั้นก็คงใช่เลย ตอนนี้เราหันไปกินแบบฝรั่งกันมาก อีกหน่อยก็คงเป็นหมูอ้วนแบบฝรั่งกันหมดประเทศเป็นแน่

...ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๔)

 

หมายเลขบันทึก: 454031เขียนเมื่อ 15 สิงหาคม 2011 16:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มิถุนายน 2012 20:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้าจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ผมเห็นด้วยเรื่องการกินอาหารให้สอดคล้องกับกรรมพันธุ์ของแต่ละคนครับ รู้สึกล่าสุดนี่ WHO ก็ปรับคำแนะนำไปแล้วโดยให้ความสำคัญกับความแตกต่างของตัวบุคคลมากขึ้น (ถ้าผมจำที่เคยอ่านไม่ผิด)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท