เรื่องสั้น 2554


          โจ้มาโรงเรียนแต่เช้า ทั้ง ๆ ที่เป็นวันหยุดเข้าพรรษา ที่โรงเรียนก็ยังครึกครื้น เพราะว่าโรงเรียนมีส่วนร่วมในงานวันเข้าพรรษา ของอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ที่มีประเพณีการตักบาตรดอกไม้ เป็นประเพณีที่โด่งดัง ของประเทศ ดึงนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวงานทั้งคนในประเทศ และชาวต่างชาติ มาร่วมงานอย่างมากมาย

          ส่วนงานของโจ้คือรำกลองยาว เป็นฝ่ายชายที่ก็ต้องมาแต่งหน้า และเปลี่ยนชุด โจ้มาโรงเรียนเอง ขึ้นรถโดยสารขนาดเล็กมาลงในอำเภอ และต่อรถมาโรงเรียนอีกทอดหนึ่งเพราะโรงเรียนอยู่ห่างจากตัวอำเภอไปอีก ถ้าเดินก็จะไกลมาก นานถึง บ้านของโจ้อยู่อีกอำเภอหนึ่ง

          การรำกลองยาว ก็ไม่ยากสำหรับโจ้ เพราะโจ้ทำคะแนนวิชาส่งเสริมลักษณะนิสัยหรือ ส.ล.นได้ดีมาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา ไม่ว่าจะเป็น การร้อง การรำ การเย็บปักถักร้อย โจ้ได้รับการคัดเลือกจากครูให้มารำตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แล้ว ปีนี้ต้นอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ดังนั้นโจ้จึงรำแบบเดิมเป็นปีที่ 2 แล้วจึงไม่หนักใจมาก แต่ที่หนักใจ คือโจ้เป็นคนตื่นเต้นง่าย และความตื่นเต้นอาจจะทำโจ้ลืมท่าและรำผิดได้ แต่โจ้เป็นคนที่ตัวสูงกว่าคนอื่น ๆ อีกหลายคนจึงได้รำอยู่ด้านหลังจึงไม่ค่อยน่าเป็นห่วง สามารถดูคนข้างหน้าได้ เพราะแถวการรำกลองยาว เป็นแถวตอน รำคู่หญิงชาย การซ้อมรำก็จะซ้อมตอนเย็นหลังเลิกเรียน คุณครูผู้ฝึกซ้อมก็จะเป็นฝ่ายนัดเองไม่ได้จำกัดว่าต้องซ้อมทุกวัน มีอยู่วันหนึ่ง ซึ่งเป็นความทรงจำที่ดีของโจ้ โจ้ซ้อมรำกลองยาวเสร็จก็เย็น ที่รอรถโดยสารในอำเภอจึงไม่มีนักเรียนเลย พอรถโดยสารมาเทียบท่าโจ้ก็ขึ้นไปนั่ง พอนั่งเสร็จก็หันไปมองด้านข้างรถมีนักเรียนชายคนหนึ่งซึ่งโจ้ไม่เคยรู้จัก เขามองมาอยู่ และยิ้มให้ โจ้รีบหันหน้ากลับมาทันที ดีที่นั่งหันหลังให้ ไม่รู้ว่าทำไมต้องหันไปมอง แต่พอหันกลับไปมองอีกครั้งนักเรียนชายคนนั้นก็ไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมแล้ว

          ในงานขบวนรำกลองยาวจะนำหน้าขบวนอื่น ๆ แล้วก็มีพระเดินมาข้างหลังถือบาตร สองข้างทางมีประชาชนถือดอกไม้ ที่เป็นดอกเข้าพรรษา มีธูปเทียนมัดติดไว้ บางคนก็นำมาจากบ้าน เพราะต้นดอกเข้าพรรษาก็ขึ้นอยู่ทั่วไป  บางคนก็ไปซื้อช่อดอกเข้าพรรษาพร้อมธูปเทียนที่งานวัดก็ได้ มีแม่ค้าตั้งวางขายอยู่ทั่วไป บ้างก็รับมาจากชาวสวนอีกทอดหนึ่ง บ้างก็ขึ้นไปเก็บตามไหล่เขาในป่าบ้าง บ้างก็ขึ้นตามธรรมชาติก็เก็บมาขาย ราคาก็ไม่แพง หลังจากรำกลองยาวนำขบวนตักบาตรดอกไม้แล้ว ก็ไปรอรำต่อที่สนามฟุตบอลโรงเรียนประถมประจำอำเภอ เพื่อรำโชว์ให้กับสภาผู้แทนราษฎรหรือ ส.ส. ของจังหวัดได้ชม เนื่องจากท่านมาเป็นเกียรติในงานประเพณีตักบาตรดอกไม้ ในวันเข้าพรรษานี้ด้วย ตอนที่แสดงโชว์นี้โจ้รำผิดไปบ้างท่าสองท่าแต่ก็ไม่น่าสังเกตเพราะรำอยู่ด้านหลัง และก็กลับมารำในท่าปกติได้ พอรำเสร็จก็มีการแสดงอื่น ๆ ต่อไป

          โจ้ก็กลับบ้าน แม่มารับ แต่โจ้มีความรู้สึกว่าแม่ไม่ได้ดีใจ หรือมีความรู้อะไรเป็นพิเศษกับการที่โจ้ได้แสดงเลย โจ้ไม่รู้ว่าแม่เครียดอะไรหรือเปล่า แต่พอกลับบ้าน พ่อยังไม่กลับ พอกินข้าวเสร็จ

 

                                                                                                                                                  หน้า 2

ดูทีวี แม่บอกว่าคืนนี้แม่จะนอนด้วย ก็ทำให้โจ้มีความรู้สึกแปลก ๆ แล้ว แม่นอนเตียงเดียวกับโจ้ แม่ฝากกุญแจพวงหนึ่งไว้กับโจ้ ตอนหัวค่ำโจ้กำมันไว้ แต่พอก่อนหลับโจ้จำได้ว่ามันหลุดมือไป

          ตอนเช้าตื่นขึ้นมาแม่ทะเลาะกับโจ้เรื่องกุญแจ แม่บอกว่าโจ้เอากุญแจให้พ่อออกจากบ้านตอนกลางคืนไปหาผู้หญิงอื่น โจ้ก็บอกว่าไม่ได้ให้ แต่แม่ก็ไม่ฟัง หลังจากวันนั้นถึงแม้แม่จะไม่ได้มานอนที่กับโจ้อีก แต่แม่ก็ทะเลาะกับพ่อทุกวัน ตอนนี้โจ้พอจะรู้บ้างแล้วว่าเหตุใดแม่ไม่ค่อยได้ดีใจ หรือรู้สึกพิเศษกับสิ่งต่างที่โจ้ทำเลย มีแต่จะคอยระแวงเรื่องของพ่อ และเอาโจ้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยรวมทั้งหาว่าโจ้สมรู้ร่วมคิดกับพ่ออีกต่างหาก จนในที่สุดแม่ก็ตัดสินใจย้ายบ้านไปอยู่กับน้าที่ต่างจังหวัด ขนของออกไปแล้ว แม่ขายหนังสือทั้งของพ่อและของโจ้ไปหมดเลย โจ้ไม่ทันได้แยกเก็บหนังสือที่ควรเก็บไว้บ้างสำหรับตัวเองเลย แม่ไม่ได้ถามเลยว่าโจ้จะเก็บหนังสือใดไว้บ้าง โจ้เสียใจ แต่โจ้อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย แม่ขายให้ใครไปไม่รู้ หนังสือรุ่นรวมนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 นั้นแม่ก็ขายไปด้วย บางทีสิ่งนี้ ก็ทำให้โจ้ได้คิดว่าชีวิต ตัวตน ความทรงจำต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาลงไปจนถึงคลอดจากท้องแม่ได้หายไปด้วย มีแต่ความทรงจำปัจจุบัน และที่กำลังจะเกิดในอนาคต พ่อตามแม่ไปอยู่ด้วย สุดท้ายถึงแม้จะทะเลาะกัน แต่ก็อยู่กันได้ เพราะพ่อกับแม่เขารักกัน แต่เขาคงไม่รักโจ้หรอก แต่บางครั้งแม่เคยบอกโจ้ว่าแม่รักโจ้นะ เหมือนพูดเพื่อให้โจ้ได้มั่นใจว่าจะอย่างไรก็ตาม แม่ก็ยังรักโจ้อยู่

          โจ้ย้ายไปอยู่กับเพื่อนที่เป็นเพื่อนสนิทตอนที่อยู่โรงเรียนประถมศึกษาไม่ไกลกับบ้านที่โจ้อยู่นัก ของที่ติดตัวโจ้มาอยู่กับเพื่อนก็มีชุดนักเรียน ชุดลูกเสือ กระเป๋าเรียน 

          วันหนึ่งเจ้าของโรงงานใกล้บ้านเพื่อนมีงานเลี้ยง มีคนมากมายมาร่วมงาน โจ้ที่เจ้าของโรงงานเคยมาเห็นว่ามาอยู่กับเพื่อนได้ขอให้ไปช่วยงาน เช่น ล้างจาน ยกของ เก็บของ อะไรที่พอผู้ใหญ่ให้ช่วยโจ้ก็ทำทุกอย่าง จนเจ้าของโรงงานบอกว่าโจ้มาอยู่ที่บ้านนี้ก็ได้จะได้ช่วยงานในบ้านด้วย และก็ได้เงินด้วย โจ้จึงตอบตกลงไป ถึงแม้การที่อยู่กับเพื่อนมันจะเป็นช่วงเวลาที่แสนสั้น แต่โจ้รู้สึกสบายใจ 

           โจ้ไม่ได้ไปโรงเรียนแล้ว ทำงานตลอด วัน ๆ ไม่ต้องใช้เงิน เพราะที่นี่อยู่กินฟรี ที่พักก็ฟรี และก็ต้องทำงานทุกอย่าง ที่เขาสั่ง เช่นตอนเช้าต้องเอาอาหารไปให้หมาตัวโตที่อยู่ในกรง ตอนแรก โจ้ก็ไม่กล้า ตัวมันใหญ่ เห่าเสียงดัง แต่พอเริ่มรู้จักกันระหว่างหมากับโจ้ เรื่องการเอาอาหารไปให้

 

                                                                                                                                                 หน้า 3

หมาก็ไม่มีอุปสรรค ขึ้นไปช่วยแม่บ้านกวาดถูบ้าน บ้านของเจ้าของโรงงานป็นตึก 4 ชั้น แต่ละชั้นมีห้องหลายห้อง ชี้นที่หนึ่งเป็นห้องนั่งเล่น เคยเป็นห้องสำนักงานมาก่อนแต่ ย้ายออกไป จึงเหลือแต่โต๊ะสำนักงาน ชั้นนี้มีห้องกินข้าวซึ่งโต๊ะกินข้าวเป็นโต๊ะกลมขนาดใหญ่ ตรงกลางโต๊ะสามารถหมุนได้ ถัดจากห้องครัวเป็นห้องพักสำหรับแม่บ้านและโจ้พักอยู่ และห้องทำกับข้าว ห้องรีดผ้า ซึ่งเป็นอาคารชั้นเดียว ต่อออกมาจากบ้านหลังใหญ่ ชั้นที่สองแบ่งออกเป็นห้องพระ ห้องที่มีรูปขนาดใหญ่มากมาย ซึ่งน่าจะเป็นรูปของเจ้าของโรงงาน รูปเดี่ยวบ้าง รูปคู่บ้าง รูปหมู่บ้าง  ชุดที่ใส่มีทั้งชุดสีขาวทั้งเสื้อและกางเกง มีเครื่องประดับที่ไหล่ และหน้าอีก มีสายสะพาย ถ้าเป็นผู้หญิงก็ใส่ชุดกระโปรงยาวถึงข้อเท้ามีสายสะพาย บางคนก็ใส่ชุดที่มีเชือกผูกที่คอ เสื้อข้างในเป็นสีขาว ใส่เสื้อนอกคลุมอีกทีแขนยาวสีดำ ถ้าเป็นเด็กลงมาหน่อยก็เป็นชุดนักเรียน โจ้เห็นชุดนักเรียนแล้วคิดถึง เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสใส่ไปโรงเรียนอีก ในรูปโจ้ไม่รู้จักใครเลย โจ้กราบพระและออกไปทำความสะอาดห้องอื่น ๆ มีอีกห้องหนึ่งที่มีกระจกสามารถมองลงไปชั้นหนึ่งได้  แสดงว่าชั้นสองนี้สร้างแบบวงกลมโดยตรงกลางไม่มีพื้น ห้องที่สามารถมองลงไปชั้นหนึ่งได้นี้ เป็นห้องนั่งเล่นอีกแล้วมีของประดับห้องน่ารักมากมาย มีตุ๊กตาญี่ปุ่น ที่สะดุดตาต้น นอกนั้นก็มีขวดเหล้าขนาดใหญ่หลายขวดวางประดับน่าจะมีราคาแพง ชั้นที่สามเป็นห้องนอนซึ่งมีหลายห้อง ชั้นที่สี่เป็นห้องโถงโล่ง และชั้นดาดฟ้าซึ่งมีถังเก็บน้ำตั้งอยู่

          เย็นวันหนึ่ง มีงานวัดใกล้โรงงาน โจ้ก็ไปกับแม่บ้าน มีหนังฉายแต่ว่าเขาขึงผ้าปิดไว้ ต้องเสียเงินค่าเข้าดู โจ้ก็เลยไม่ได้ดู มีเวทีลิเกที่ไม่เสียค่าดู มีคนนั่งดูบางตา เดินดูของขายมีมากมาย โจ้ซื้อไส้กรอกกินไปหลายไม้จนอาเจียน โจ้ไม่รู้ว่าทำไมกินไปมากมายขนาดนั้น

          กลับมาที่โรงงาน แม่บ้านเปิดประตูเหล็กใหญ่ และเดินเข้ามาที่ประตูเหล็กเลื่อนก็มีคนเปิดประตูกระจกข้าง ๆ ที่เป็นห้องนั่งเล่นดูทีวีออกมา โจ้ไม่ได้มองหน้าเขา เห็นแม่บ้านขอบคุณเขา และโจ้ก็ได้แต่ก้มหัวให้ ได้ยินเขาบอกว่า  “ เข้าทางนี้ก็ได้”  ก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอนแม่บ้านบอกว่าเขาเป็นหลานเจ้าของบ้าน หมายความว่า เจ้าของบ้านมีพี่น้องหลายคน แม่บ้านบอกว่าเขาเป็นลูกของน้องของเจ้าของบ้าน กำลังเรียนหมออยู่ วันรุ่งขึ้นโจ้กำลังล้านจานเห็นเขาเดินเอาจานมายื่นให้ โจ้รับไว้และเอามาล้างให้  เขาก็เดินกลับไป ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย

          วันหนึ่งโจ้เข้าไปทำความสะอาดในห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่งคนเดียว แม่บ้านกำลังวุ่นทำอาหารเนื่องจากว่าเจ้าของโรงงานจะมาและพาแขกมาทานข้าวด้วย โจ้ปัดกวาดเช็ดถูก็เห็นเอกสารการสั่งซื้อสินค้าต่าง ๆ เช่น โต๊ะ ก้าวอี้ ของประดับ ของเล่น ฯลฯ โทรไปสั่งได้โดยแจ้งชื่อตามที่อยู่บนเอกสาร โจ้เป็นอะไรไม่รู้ไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง ใช้เครื่องโทรศัพท์แบบหมุนไปตามตัวเลขโทรไปสั่งสินค้าตามที่อยากได้ โดยโจ้แจ้งชื่อของคนที่อยู่บนเอกสารเป็นคนสั่งซื้อ และก็วางสาย และโจ้ก็ไปทำความสะอาดตามชั้นต่าง ๆ แล้วก็ลงไปช่วยแม่บ้าน ตอนที่แขกมาร่วมรับประทานอาหารเสร็จและกลับออกไปกันหมด แม่บ้านหน้าไม่ดีมาบอกให้โจ้ไปที่ห้องนั่งเล่นด้วย พอเดินไปถึงโจ้เห็น

                                                                                                                                                  หน้า 4

ผู้หญิงคนหนึ่งตัวเล็ก มีสง่าราศี ผมสีดำ มีสีขาวแซมบ้าง แต่ดูไม่น่าเกลียด ทำหน้าบึ้งพูดมาที่ฉันว่า “อยากได้ของที่สั่งทั้งหมดไหม แล้วจะสั่งให้ แล้วจ่ายเงินเองนะ” เท่านั้น เท่านั้นจริง ๆ แล้วโจ้ก็ร้องไห้ตลอด โจ้ได้ยินเสียงสะอึกสอื้นของตัวเอง น้ำตาก็ไหลเต็มสองตา มันดีที่ทำให้โจ้มองออกไปเห็นแต่ภาพพร่าเลือน ทั้งน้ำมูกแล้วก็นำตาไหลเข้าปากโจ้ เค็ม ๆ หลังจากนั้นเจ้าของโรงงานก็เดินจากไปโทรศัพท์บอกว่าเป็นความเข้าใจผิดกันนิดหน่อย และเดินออกจากห้องไป โจ้รู้สึกว่าแม่บ้านได้ตบหน้าโจ้ไปหนึ่งที แม่บ้านยังพูดอีกว่าเราโดนคนว่ามาหลายอย่างว่าไม่ดีแต่เขาก็ไม่เชื่อแต่พอมาเห็นการกระทำนี้แล้วถึงได้เชื่อ แม่บ้านยังบอกอีกว่าบุรุษไปรษณีย์มาบอกว่าที่ตู้ไปรษณีย์หน้าบ้านมีกระดาษพับติดแม็กที่เขียนอะไรไม่รู้เรื่อง ไม่ได้เขียนถึงใคร และไม่ได้จ่าหน้าว่าเป็นใครใส่ลงไปในตู้ทุกวัน โจ้ก็ไม่รู้เขียนและใส่ไปทำไมเหมือนกัน

          หลังจากวันนั้นโจ้ก็ไม่ไปยุ่งกับของของเจ้าของโรงงานอีกเลย แล้วก็เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องหลังจากที่ทำงานเสร็จแล้ว ไม่ได้เจอหน้าเจ้าของโรงงานและใคร ๆ เลยนอกจากแม่บ้าน ถ้าเจอคนอื่นโจ้ก็จะก้มหน้าตลอด โจ้มีความรู้สึกว่าทำความผิดอันใหญ่หลวงเอาไว้ มีอยู่วันหนึ่งก็เข้าทำความสะอาดห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่งพบว่ามีพี่น้องของเจ้าของโรงงานและหลาน เล่นและดูทีวีในห้องโจ้ก็ทำความสะอาดไป สักพักพี่น้องของเจ้าของโรงงานก็พูดขึ้นว่า  “เหม็นตด” แล้วทั้งสองก็โป้ยมาที่โจ้ว่า โจ้เป็นคนตด โจ้ก็ได้แต่ปฎิเสธไป พอขึ้นไปชั้นสามซึ่งเป็นห้องนอน มีอยู่ห้องหนึ่งโจ้เปิดประตูเข้าไปพบว่ามีผู้ชายสองคน คนหนึ่งนั่งทำสมาธิอยู่ อีกคนหนึ่งกำลังนอนหลับในเตียงเดียวกัน โจ้จึงรีบปิดประตูและกลับลงไปข้างล่าง สงบจิตใจอยู่ที่ห้องรีดผ้า เมื่อไม่มีอะไร โจ้จึงเอาผ้ามารีดต่อ

          ชีวิตประจำวันของโจ้ก็เหมือนเดิมทุกวันตอนเช้าเอาอาหารไปให้สุนัข ความที่มันตัวใหญ่ บางครั้งโจ้ก็คิดว่ามันเป็นสุนัขไม่ใช่คน สักวันมันจะกัดโจ้ไหมนะ ถ้ามีวันนั้นโจ้ไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นอย่างไรบ้าง และก็มีเสียงทักขึ้น “ทำอะไรหนะ” จนทำให้โจ้ตกใจพยายามหันไปหาต้นเสียง เนื่องจากรั้วกั้นสุนัขเป็นรั้วเหล็กโปร่งอยู่นอกตึกจึงทำให้เห็นคนนั้นยืนอยู่ อ๋อคนนั้นเองคนที่มองโจ้และยิ้มให้โจ้ตอนอยู่บนรถโดยสารขนาดเล็ก “ตกใจหมดเลย” ประกอบกับเจ้าสุนัขเห่าด้วย โจ้จึงรีบวิ่งเข้าในตึกทันที วันหลังโจ้มีโอกาสได้เจอเขาอีกที่กรงสุนัขเวลาที่โจ้ให้อาหาร ก็ได้ทราบว่าเขาเป็นลูกคนงานอยู่บ้านพักด้านหลังโรงงาน เขาใส่กางเกงยีนตัดขาสั้นเหนือเข่าพับขึ้นอีกประมาณ 1 นิ้ว ใส่เสื้อยืดสีขาว เขาชวนไปดูหนังเย็นนี้ โจ้ก็เลยตอบตกลง

               หลังจากที่โจ้ทำงานตอนบ่ายเสร็จจึงขออนุญาตแม่บ้านออกไปดูหนังกับเพื่อนข้างนอก แม่บ้านบอกว่าก็จะดูเหมือนกันก็เลยคิดว่าอาจจะเจอกันก็ได้ เขาก็ขี่มอเตอร์ไซค์มารับ โจ้ก็ซ้อนเขาไป ที่งานก็มีของขายมากมาย ที่จอหนัง ถ้ามองไกล ๆ ก็เห็นอยู่แต่ว่ามันจะดูไม่รู้เรื่องเพราะว่าไม่ได้ยินเสียง ต้องซื้อตั๋วเข้าไปดู และเขาก็ซื้อตั๋วให้ด้วย เข้าไปดูคนเยอะแล้วหนังยังไม่ฉายก็มีฉายโฆษณาไปก่อน ที่นั่งก็เป็นพื้นดิน เขากับโจ้หาที่นั่งที่ไม่เปียกและอยู่ท้าย ๆ ติดกับผ้าใบด้านหลังที่

 

                                                                                                                                           หน้า 5

เขากั้นขอบเขตโรงหนังเอาไว้ไม่ไกลจากทางเข้ามากนัก โจ้ก็ถอดรองเท้าและนั่งทับรองเท้าของตัวเอง ในระหว่างที่รอหนังฉาย ก็ได้ทราบว่าเขาชื่อเอก เป็นลูกคนงาน และพักอยู่บ้านพักหลังโรงงาน เพิ่งย้ายตามที่บ้าน พ่อกับแม่มาทำงานที่จังหวัดนี้เกือบปีแล้ว และได้เรียนโรงเรียนประถมศึกษาที่เดียวกับโจ้แต่คนละห้อง ถึงว่าซิทำไมโจ้ไม่คุ้นหน้าเลย แต่อาจจะทราบข่าวบ้างว่า ตอนที่โจ้ขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ใหม่ ๆ เพื่อน ๆ บอกว่ามีเพื่อนใหม่ย้ายเข้ามาเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 หลายคน การที่มีหลายคนจึงทำให้โจ้ไม่ได้สนใจว่าเป็นคนไหน เพราะโจ้ไม่ค่อยรู้จักเพื่อนต่างห้องเลย สนิทแต่เพื่อนในห้อง ถ้าเป็นต่างห้องก็พอเห็นหน้าบ้างแต่ไม่ได้สนิท และได้ทราบว่าเขามาเรียนที่โรงเรียนในอำเภอพระพุทธบาทเหมือนกัน ซึ่งมีส่วนน้อยที่ไปเรียนที่นั่น และเขาก็อยู่คนละห้องกับเราอีกจึงไม่ค่อยได้เจอกัน แล้วเอกก็ถามเรื่องที่บ้านของโจ้ เห็นหายหน้าไปไม่ไปโรงเรียน โจ้ก็ถามกลับไปว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่าโจ้ไม่ได้ไปเรียนนานมาก เอกก็บอกว่าก็โจ้อยู่ห้องหนึ่งเป็นห้องแรก โจ้ตัวสูงที่สุดก็ต้องยืนหัวแถว ใคร ๆ ก็มองเห็น  พอโจ้ได้ยินดังนั้นจึงตะโกนว่า “ใช่ ใช่ จริง ๆ ด้วย” เสียงดังจนคนที่ดูหนังอยู่หันมามองโจ้เอามือปิดปาก เหมือนขอโทษ คนก็หันกลับไปดูหนังกันต่อเหมือนเดิม  หนังเริ่มฉายแล้ว หนังเริ่มฉายหนังจีนก่อน แล้วเป็นหนังฝรั่ง และก็หนังไทย ในระหว่างที่ดูเอกก็ออกไปซื้อของมาให้เช่น น้ำ ขนมซอง และก็มีลูกชิ้นด้วย โจ้กินจนอิ่ม และพอใกล้เที่ยงคืน เอกก็ถามว่า “ลืมถามไปเลยว่า เข้าบ้านได้หรือเปล่า” โจ้จึงตอบไปว่า “บอกแม่บ้านไปแล้วคิดว่า พอกดกริ่ง แม่บ้านคงตื่นมาเปิดประตูให้” ในขณะที่พูดโจ้ได้กลิ่นบุหรี่กับเหล้าผสมกันด้วย โจ้คิดว่าคงเป็นกลิ่นจากคนข้าง ๆ ก็เลยไม่ได้สนใจถามเอก

                พอดูหนังจบเอกก็พาลุกออกไปก่อนที่คนจะเยอะ พอออกมาจากโรงหนังก็เลยเวลาเที่ยงคืนไปมากแล้ว และร้านค้าก็กลับกันหมด ที่จอกรถจักรยานยนต์มีจำนวนมากมายเอกเป็นคนพาไปที่รถเองเพราะตอนที่เอกมาจอดโจ้ไม่ได้เข้ามาด้วย เอกบอกให้รออยู่ตรงร้านก๋วยเตี๋ยว ทางเข้ามาที่จอดรถ พอหารถเจอก็ขี่กันออกไปจากงาน การซ้อนท้ายครั้งนี้เอกรู้สึกไม่เหมือนกับตอนที่นั่งซ้อนท้ายเอกขามาเลย โจ้รู้สึกว่าเอกขี่เร็วขึ้น รถมอเตอร์ไซค์ก็แกว่งไปมา และได้กลิ่นเหล้าด้วย โจ้เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าเอกแอบไปกินเหล้ามาแน่เลย พอโจ้กำลังจะเอ่ยปากถามไป บังเอิญเป็นทางเลี้ยวพอดีโจ้ก็เลยต้องรีบหุบปากและเอามือไปเกาะเอวเอกแน่นขึ้น ในขณะนั้น โจ้รู้สึกว่ารถมันห่างออกไปจากตรงกลางถนน สังเกตได้จากระยะของตลิ่งที่เป็นข้างซ้ายมีหญ้าขึ้นเต็ม รถมอเตอร์ไซค์มันห่างไปเรื่อย ๆ ประกอบกับเส้นสีเหลืองที่เป็นเส้นแบ่งกลางให้รถวิ่งสวนกัน และห้ามแซงเมื่อเห็นเส้นสีเหลืองนี้ตรงทางเลี้ยว ในขณะที่โจ้กำลังจะเอ่ยคำพูดอะไรออกไป โจ้รู้สึกว่ารถมอเตอร์ไซค์ได้ชนอะไรเข้าเสียงดัง และโจ้ก็ได้ยินเสียงตัวเองร้องออกมาด้วย

                หัวใจโจ้เสียววูบในขณะที่ลอยตกจากรถลงมาที่พื้น มือที่เกาะเอวเอกได้หลุดออก เข่าลงพื้นถนนก่อนตามด้วยข้อศอก และหน้าด้านข้างนิดหน่อย โจ้พยายามฝืนแรงการลื่นไถล แต่มันก็ยัง

 

                                                                                                                                             หน้า 6

มีแรงผลักไม่หยุดสักที กว่าจะหยุดได้ก็ไกลจากเอกไป3-5 เมตรเลย พอหยุดโจ้พยายามเงยหน้าขึ้นจากพื้นถนนและมองไปที่เอก โจ้เห็นเอกติดอยู่ที่ตัวรถจักรยานยนต์พยายามเอาขาออกจากรถที่ทับอยู่แล้วเขาก็เอามือยกแฮนด์รถยกรถยืนขึ้นได้ ในขณะนั้นโจ้เห็นเอกปลอดภัยดี ก็มองไปที่รถอื่น ๆ รถที่กำลังวิ่งมาเขาก็ชะลอหยุด บ้างก็วิ่งมาที่เกิดเหตุ เอกพยายามเข็นรถมาทางโจ้ ในขณะที่โจ้ก็พยายามเดินไปหาเอกเหมือนกัน โจ้ว่าเอกว่า “ทำไมต้องดื่มเหล้าด้วย เห็นไหมว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ ดีว่าไม่เป็นอะไรมากนะ” เอกบอกว่า “ก็ดื่มไปนิดหน่อยเอง เขามาชนก่อนต่างหาก” ตอนที่เอกบอกว่าเขามาชนก่อนต่างหากนั้นเป็นครั้งแรกที่โจ้รู้ว่ามีคู่กรณีแต่ไม่เห็นรถเขา ว่าเป็นรถอะไร มีใครเป็นอะไรบ้าง เห็นแต่คนวิ่งไปที่คูข้างทาง ที่มีหญ้าขึ้นจำนวนมาก ตรงใกล้ ๆ ที่เอกเข็นรถมานั้น และที่คนกำลังลงไปที่คูข้างทาง กลุ่มหญ้าหนาเตอะนั้นหายไป แสดงว่ารถอีกคันตกไปตรงนั้น ยังไม่ทันไรคนก็ช่วยกันยกมอเตอร์ไซค์อีกคันขึ้นมา พร้อมกับคนเจ็บอีกคน โจ้รู้สึกใจหายวูบเพราะคนนั้นไม่รู้สึกตัวมีคนกำลังแบกเขาขึ้นมาจากข้างทาง เอกได้ดึงโจ้เข้าไปกอด และปลอบว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรหรอก” โจ้ได้ยินเสียงของเอกเบามากได้ยินแต่เสียงร้องไห้ของตัวเอง

                 โจ้ได้ไปดูคนเจ็บที่โรงพยาบาลด้วย แต่ยืนอยู่หลังเอก เขาฟื้นแล้ว โจ้ใจชื้นขึ้นมานิดนึงโจ้เห็นสายตาของเขาที่มองมาที่โจ้ สายตาเครียดแค้น โจ้จึงหลบสายตาเขามามองที่แผลของเขาที่ข้อขาขวา พันด้วยผ้าสีน้ำตาลยาวจากปลายขาเห็นนิ้วเท้าโผล่ออกมานิดหน่อยทั้งห้านิ้ว พันไปจนถึงเกลือบถึงเข่า โจ้คิดว่าตอนนั้นเขาเหมือนคนที่ตายไปแล้วเลย แสดงว่าคนที่หลับอยู่ก็ทำให้คิดว่าตายไปก็ได้ โจ้เพิ่งมาโรงพยาบาลเป็นครั้งแรกมันใหญ่โอ่อ่ามาก เห็นคนมากมายรอตรวจรักษา แม้จะเวลากลางคืน บ้างเป็นญาติคนไข้ ส่วนใหญ่เขาจะใส่ชุดสีขาว ๆ ดูสะอาดตา ผู้หญิงที่แต่งชุดขาวมีมงกุฎอยู่บนหัวด้วย โจ้ขยี้ตาตัวเอง คิดว่าเป็นนางฟ้า และโจ้คิดว่าโจ้เห็นนางฟ้าอยู่คนเดียว แต่พอเห็นเขาเดินมาพูดกับคนป่วยจึงรู้ได้ว่าเขาเป็นคนเหมือนเรา

                  เอกบอกว่า “โจ้กลับบ้านเองได้นะ” โจ้ก็ได้แค่พยักหน้า ที่โรงพักตำรวจคุยกับเอกไม่ยอมให้เอกกลับ โทรแจ้งผู้ปกครองมา และยึดรถของกลางเอาไว้ ในระหว่างที่โจ้เดินกลับคนเดียว โจ้ก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ผู้ปกครองหรือ ผู้ปกครองมันสำคัญกับโจ้ไหมนะ ต้องสำคัญซิ เพราะโจ้เกิดมาได้ก็เพราะผู้ปกครอง และจิตใจตอนนี้โจ้รู้สึกเหงามากเลย เหงาจนกล้ามเนื้อหน้าอกมันพยายามบีบหัวใจ ให้สะอื้นเพื่อที่จะร้องไห้ออกมา โจ้ทำงานมีเงินแล้ว นั่นหมายความว่าโจ้เป็นผู้ใหญ่แล้วหรือยัง ไม่ต้องมีผู้ปกครองแล้วได้ไหม นะระหว่างที่เดินไปข้างถนนอันมืดมิด มีรถวิ่งผ่านไปมาบ้างเป็นครั้งคราว พอรถวิ่งมาคันหนึ่งก็ได้ส่องแสงไฟให้โจ้บ้าง พอไม่มีรถโจ้ก็เดินในความมือ โจ้พอจะใช้เส้นสีขาวริมถนนบอกตัวเองว่าอย่าเลยเข้าไปในเส้นนั้นรถอาจจะชนได้ มีรถคันหนึ่งวิ่งมาแล้วทำเสียงวี๊ดวิ้ว และเลยไป พอเลยไปสักพักได้ยินเสียงดังโป๊ะ จนโจ้ได้คิดว่าพวกผู้ชายนั่นคงคิดว่า โจ้เป็นผู้หญิงละซิ ถ้าเป็นผู้หญิงมาเดินเตร็ดเตร่ ค่ำมืดแบบนี้

 

                                                                                                                                              หน้า 7

ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างนะ โจ้คิดว่าดีแล้วที่เกิดมาเป็นแบบนี้ โจ้ภาวนาขอให้เกิดเป็นแบบนี้ทุกชาติไป น้ำตาเริ่มไหล ในขณะนั้นโจ้ก็เห็นเต่าหงายท้องอยู่กลางถนน

ในขณะที่โจ้กำลังจะเข้าไปช่วยมันรถกระบะที่วิ่งมาข้างหลังก็เข้าไปเหยียบมันอีก เห็นเต่ากระเด็นออกมานิดหน่อย คราวนี้มันคว่ำ เห็นกระดองมันแตกด้วย โจ้พยายามหาทางช่วยมันทุกวิถีทาง เช่น หาไม้ แต่ไม่มี รถก็วิ่งมาบ่อยขึ้น ครั้นจะเข้าไปจับมันก็กลัวว่ามันจะกัด สุดท้ายโจ้ก็เดินจากมันมา โจ้มาคิดอีกทีทำไมช่วยมันไม่ได้ ทำไมไม่ช่วยมัน หรือสิ่งที่โจ้ภาวนาก่อนหน้านั้นจะไม่เป็นความจริง

                กลับมาที่โรงงานเห็นยามเขาเปิดประตูใหญ่ให้โดยไม่พูดอะไร ได้แต่ยิ้มให้ โจ้ก็ยิ้มตอบ โจ้เดินเข้าไปที่ห้องระหว่างห้องครัวที่สร้างต่อเติมตึกออกไป ซึ่งห้องจะติดกับห้องนั่งเล่น โจ้เห็นว่าห้องนั่งเล่นเปิดทีวีอยู่แต่ไม่เห็นคน โจ้กดกริ่งหน้าห้อง เสียงกริ่งจะไปอยู่ที่ห้องแม่บ้าน กดครั้งที่ 3 แม่บ้านก็ไม่มาเปิดให้ สักพักก็มีผู้ชายคนหนึ่งยืนขึ้นที่ห้องนั่งเล่นแล้วเปิดประตูออกมา โจ้จำได้เขาเป็นหลานของเจ้าของโรงงานที่เรียนหมอนั่นเอง พี่เขายิ้มให้แล้วบอกว่า “เข้าทางนี้ก็ได้” พอพี่เขามองเห็นแผลจึงถามว่า “ไปทำอะไรมาเนี่ย” โจ้ก็ยกมือขอบคุณ แล้วบอกว่า “รถล้ม” แล้วพี่เขาก็บอกให้ไปอาบน้ำก่อน แล้วกลับมาที่ห้องนี้จะทำแผลให้ โจ้กลับไปที่ห้องนอนเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้าไปอาบน้ำให้ห้องน้ำ โจ้แสบตรงที่เป็นแผลถลอกเวลาโดนน้ำทีไรต้องร้องออกมาทุกที พออาบน้ำเสร็จแต่งตัว ออกไปที่ห้องนั่งเล่น พี่เขาเตรียมกล่องเล็ก ๆ สีขาว โจ้มองไปในนั้นมีอุปกรณ์มากมาย โจ้เห็นขวดเล็ก ๆ และที่จำได้มีพลาสเตอร์ด้วย “นั่งลงที่เก้าอี้ตัวนี้ซิ” พี่เขาบอก และชี้ไปที่เก้าอี้หนังตัวใหญ่พอโจ้นั่งลง เก้าอี้มันก็หมุนหันหน้าหนีพี่เขา ในขณะที่โจ้ก็ร้องออกมาอีก โจ้ได้ยินเสียงพี่เขาหัวเราะแล้วก็จับก้าวอี้ให้หันมา หน้าเขาใกล้โจ้มาก โจ้เห็นใบหน้าของเขายิ้ม เป็นใบหน้าของคนที่มีความสุขหรือ ทำไมมันไม่เหมือนใบหน้าของเอกเลย แล้วพี่เขาก็พูดว่า “เก้าอี้มันหมุนได้ เข้ามาทำความสะอาดห้องนี้แล้วไม่เคยนั่งเลยหรือ เห็นข่าวว่ามีเรื่องวุ่นวาย ทำเรื่องอะไรไว้ไม่ใช่หรือ เด็กเหลือขอ อย่างเธอหนะ” โจ้เจ็บจี๊ดเข้าไปในอกในคำว่า  “เด็กเหลือขอ” โจ้คิดว่าเด็กเหลือขอคือเด็กแบบเรากระมัง แล้วโจ้ก็ร้องออกมาพี่เขาเอายาอะไรทาที่แผลให้ก็ไม่รู้ แสบ และกลิ่นเหมือนเหล้าเลย เหล้าที่เอกดื่มแล้วเกิดอุบัติเหตุก่อนหน้านี้ “พี่เอาเหล้ามาทาให้ทำไม พี่ก็ดื่มเหล้าเหมือนเพื่อนหรือ เพื่อนเพิ่งพาไปชนกับอีกคันหนึ่งเมื่อกี้เอง เหล้ามันไม่ดีนะ” พี่เขายิ้ม และหัวเราะบอกว่า “ฉันเรียนหมอนะรู้โทษของมันดีหรอก เด็กคนหลังบ้านหรือ เห็นคุยกับเธอบ่อย ๆ นี่เป็นยาที่ใช้ทาแผลต่างหาก เธอเป็นแค่เด็กเหลือขอแล้วจะรู้ได้อย่างไร” โจ้ก็ตอบกลับไปว่า “ไม่ได้คุยกับเขาบ่อยสักหน่อย” พี่เขาก็ตอบกลับมากว่า “ทำไมต้องหน้าแดงด้วย สงสัยต้องมากกว่าเพื่อนแน่ ๆ” พอโจ้จะพูดต่อ พี่เขาก็บอกให้หยุดพูดได้แล้ว เพราะยิ่งพูดมาก ร่างกายก็ขยับไปด้วยทำให้พี่เขาทำแผลลำบาก พี่เขาบอกว่าดีนะที่แผลไม่ใหญ่มาก เป็นแผลถลอกสักพักก็ตกสะเก็ดแล้วก็หายไปเอง แต่มันก็จะเป็นแผลเป็น

                                                                                                                                                  หน้า 8

               หลังจากวันนั้นโจ้ได้ไปทำงานที่กรุงเทพฯ เพราะบ้านของเจ้าของโรงงานมีอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วย และก็เป็นบ้านพักของพี่ที่เรียนหมอ โจ้ไม่ค่อยเห็นพี่เขาหรอกส่วนใหญ่พี่เขาจะพักอยู่ที่เรียน ที่ตอนหลังทราบว่าเขาใช้คำว่า หอพัก ตอนที่พี่เขามาก็เห็นเขาตัวใหญ่ขึ้นมากเลย ดูท่าทางเป็นผู้ใหญ่ ไม่ค่อยชวนคุยเหมือนเมื่อก่อน ส่วนเรื่องของเอกทราบจากแม่บ้านที่บางครั้งมากรุงเทพฯ มาช่วยงานว่าเอกก็เรียนตามปกติ และอยู่บ้านพักหลังโรงงานเหมือนเดิม ฝากความคิดถึงมาถึงโจ้ด้วย

         

คำสำคัญ (Tags): #learning process
หมายเลขบันทึก: 453693เขียนเมื่อ 13 สิงหาคม 2011 22:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 20:16 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท