5 โรคยอดฮิตสำหรับเด็ก ๆ วัยเรียน


สุขภาพกับการดำเนินชีวิต

                 5 โรคยอดฮิตสำหรับเด็ก ๆ วัยเรียน 


1. โรคหวัด

โรคหวัดแพร่กระจายได้ง่าย จากสัมผัสกับละอองน้ำลายที่มีเชื้อโรคในอากาศ ที่เกิดจากการไอ หรือ จาม อาการเริ่มต้นก็จะมีน้ำมูกไหล คัดจมูก เจ็บคอ ไอ จามเป็นชุด และ มีไข้ต่ำ ๆ

ความจริงแล้ว ไม่มียารักษาโรคหวัดโดยตรง และการทานยาแก้ไอ หรือ ยาแก้หวัด ก็ไม่แนะนำให้เด็กเล็ก ๆ ทาน - แต่เราสามารถช่วยให้เด็กรู้สึกดีขึ้นได้ เช่น

  • ให้ดื่มน้ำเยอะ จะเป็นน้ำเปล่า น้ำผลไม้ หรือ ซุปอะไรก็ได้
  • ให้เด็กนอนพักผ่อนมาก ๆ
  • เปิดเครื่องทำไอน้ำในห้องนอนของเด็ก
  • พ่นน้ำเกลือเข้าจมูก
  • สำหรับเด็กที่โตขึ้นมาหน่อย ลูกอมรสจัด ยาแก้ไอ หรือ กลัวคอด้วยน้ำเกลือ ก็จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้

ยาแก้ปวดยี่ห้อต่าง ๆ ที่ขายตามร้านขายยา สามารถลดไข้ และ บรรเทาอาการเจ็บคอ และ ปวดหัวได้ แต่ถ้ามีไข้ต่ำ ๆ ไม่จำเป็นต้องกินยาอะไร ถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็ควรให้ในปริมาณตามที่ระบุไว้ที่ฉลาก แต่ห้ามให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีทานยาแอสไพรินเป็นอันขาด

2. โรคหวัดลงกระเพราะ

โรคหวัดลงกระเพาะส่วนใหญ่เกิดจากการทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคเข้าไป อาการบ่งบอกก็มี อาเจียน และ ท้องเสีย

เช่นกันกับโรคหวัด ไม่มีวิธีรักษาแบบหายขาด ถ้ามีอาการแล้วจะต้อง

  • ป้องกันการสูญเสียน้ำ ด้วยการให้ดื่มน้ำเกลือแร่ หรือ Pedialyte เพื่อทดแทนน้ำ แร่ธาตุ และ เกลือที่สูญเสียไป
  • ให้เด็กนอนพักผ่อนมาก ๆ
  • ค่อย ๆ ให้เด็กกลับมาทานอาหารตามปกติ เริ่มด้วยอาหารที่ย่อยง่าย ๆ ก่อน เช่น ขนมปัง ข้าว กล้วย มันฝรั่ง เป็นต้น
  • ควรงดอาหารที่มีนมเป็นส่วนประกอบไว้ก่อน ซึ่งเป็นเหตุทำให้อาการท้องเสียแย่ลง

ไม่แนะนำให้เด็กทานยาแก้ท้องเสีย นอกเสียจากคุณหมอแนะนำให้ทานเท่านั้น ยาพวกนั้นจะทำให้ร่างกายของเด็ก กำจัดเชื้อโรคได้ยากขึ้น ถ้าเด็กดูเหมือนจะเริ่มมีอาการสูญเสียน้ำ เช่น หิวน้ำบ่อย ปากแห้ง ฉี่น้อยลง หรือไม่ฉี่เลย หรือ ดูเนือย ๆ ซึม ๆ ลงไปแบบผิดหูผิดตา ควรรีบพาไปหาคุณหมอทันที

3. โรคหูอักเสบ

โรคหูอักเสบมักเป็นผลพวงมาจากการติดเชื้ออื่น ๆ เช่น หวัด หูชั้นกลาง จะเริ่มอักเสบจากการติดเชื้อ และ มีน้ำหลังแก้วหู ซึ่งจะกลายเป็นที่เพาะเชื้อไวรัส หรือ แบคทีเรีย เด็กอาจจะบ่นว่าเจ็บในหู แคะ หรือ ดึงหูข้างที่ติดเชื้อ มีอาการระคายเคือง หรือ นอนไม่หลับ ตามมา

โรคหูอักเสบส่วนใหญ่มักจะหายไปเองใน 2-3 วัน และยาแก้อักเสบก็ไม่ได้ช่วยอะไร ถ้าติดเชื้อด้วยไวรัส ถ้าเด็กรู้สึกไม่สบายตัวให้

  • นำผ้าชุบน้ำอุ่นมาปะคบที่หูข้างที่ติดเชื้อ
  • ถามคุณหมอเกี่ยวกับยาแก้ปวด คุณหมออาจแนะนำยาหยอดหู หรือ ยาแก้ปวด เช่น ไทลีนอล หรือ แอดวิล ควรใช้ให้ตรงกับปริมาณ ตามอายุและน้ำหนัก ที่ระบุไว้ที่   ฉลากยา ไม่แนะนำให้กินยาแอสไพรินกับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีนะครับ

 

4. โรคตาแดง

โรคตาแดง เกิดจากการติดเชื้อบริการเยื้อบุตา ตรงกลางระหว่างเปลือกตากับลูกตา โรคตาแดงส่วนมากเกิดจากไวรัส มักเป็นพร้อมกับโรคหวัด แต่ก็มีบางครั้ง เกิดมาจากเชื้อแบคทีเรีย หรือ แพ้อะไรสักอย่าง ก็เป็นได้ เมื่อเป็นโรคตาแดงที่เกิดจากเชื้อไวรัส หรือ แบคทีเรีย มันสามารถไปติดคนอื่นได้ง่าย คุณจะเห็นตาของเด็กแดงอย่างเห็นได้ชัด ลูกอาจจะบ่นว่าคันตายิบ ๆ หรือ ตาพร่ามัวได้

ถ้าลูกเป็นโรคตาแดงที่เกิดจากแบคทีเรีย คุณหมออาจจะให้ยาหยอดตา  หรือ ยาป้ายตา ที่มีสารปฏิชีวนะผสมอยู่ด้วย ส่วนโรคตาแดงที่เกิดจากไวรัส มันก็หายเองได้ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่น หรือ น้ำเย็น ประคบที่ดวงตา อาจทำให้ลูกรู้สึกดีขึ้น

 

5. เจ็บคอ

ส่วนมาก อาการเจ็บคอเกิดจากเชื้อไวรัส และมักจะมากับอาการอื่น ๆ เช่น น้ำมูกไหล หรือ ไอ เป็นต้น อาการเจ็บคอส่วนมาก มักจะหายเองโดยไม่ต้องกินยาอะไร ต่อไปนี้ เป็นวิธีที่จะช่วยให้ลูกรู้สึกดีขึ้นตอนเจ็บคอ

  • ให้ดื่มน้ำเยอะ ลองพวกน้ำผึ้ง หรือ น้ำมะนาวอุ่น ๆ จะช่วยได้เยอะ
  • พยายามให้เด็กใช้เสียงให้น้อยลง
  • เปิดเครื่องทำไอน้ำในห้องนอนของลูก หรือ ให้เด็กนั่งในห้องน้ำที่มีไอน้ำสักครู่
  • สำหรับเด็กที่โตหน่อย ให้กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ หรือ อมยาอมแก้ไอ

ถ้าเจ็บคอนานเกิน 1 สัปดาห์ เจ็บคอมากขึ้น หรือ มีไข้ หรือต่อมทอนซิลเริ่มบวมโต ให้รีบไปพบคุณหมอนะครับ ลูกอาจจะมีการติดเชื้อในคออย่างรุนแรง อันเนื่องมากจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งจำเป็นต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ

 

เมื่อไรควรอยู่บ้าน เมื่อไรไปโรงเรียนได้

ลูกควรจะพักผ่อนอยู่ที่บ้านถ้า

  • มีไข้สูงกว่า 38 C
  • อาเจียน
  • ท้องเสีย
  • อยู่ในช่วง 24 ชม.แรก ในการรักษาโรคตาแดง หรือ เจ็บคอ ด้วยยาปฏิชีวนะ

โดยทั่วไปแล้ว ลูกน่าจะกลับไปโรงเรียนตามปกติได้เมื่อ

  • ไม่มีไข้แล้ว
  • ทานอาหารและดื่มน้ำ / นมได้ตามปกติ
  • ตื่นตัวพอที่จะตั้งใจเรียนในชั้นได้
  • ครบกำหนดระยะเวลาหยุดเรียนตามที่คุณหมดสั่ง

วิธีการป้องกันไม่ให้ติดจาก หรือ ไปติดคนอื่น

วิธีป้องกันลูกจากคนอื่น คือ สอนให้ลูกรู้จักสิ่งพื้นฐานง่าย ๆ ต่อไปนี้

  • ล้างมือให้สะอาด เตือนให้ลูกล้างมือทุกครั้ง ก่อนรับประทานอาหาร และ หลังจากเข้าห้องน้ำ หรือ สั่งน้ำมูก แนะนำให้ล้างมือด้วยสบู่ นานจนกว่าจะร้องเพลง ABC หรือ เพลง Row, Row, Row Your Boat หรือ เพลง Happy Birthday จบ ถือว่าใช้ได้
  • ปิดปากและจมูกเวลาไอ หรือ จาม จะให้ดี ก็ให้ใช้กระดาษทิชชูปิดปาก ถ้าหากระดาษทิชชูไม่ได้ทันเวลา ก็ให้ใช้ข้อพับที่แขน ปิดปากแทน
  • ไม่เอามือขยี้ตา หรือ เข้าปาก เพราะ มือมักจะมีเชื้อโรคอยู่เยอะ
  • พยายามอย่าเข้าใกล้คนป่วย ยิ่งใกล้ชิดคนป่วยมากเท่าไร ก็จะมีโอกาสติดเชื้อโรคมากเท่านั้น

เมื่อลูกโตขึ้น พวกเขาก็จะมีภูมิต้านทานมาต่อสู้กับเชื้อไวรัสขั้นลูกสนุมได้ ลูกจะค่อย ๆ แข็งแรงขึ้น ไม่ป่วยเป็นโรคทั่วไป ๆ ได้ง่าย และ ถ้าป่วย ก็จะฟื้นตัวเร็วขึ้น ...

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 453213เขียนเมื่อ 10 สิงหาคม 2011 07:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2012 15:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท