ภายหลังกิจกรรม "มมส ร่วมใจห่วงใยชุมชน" หรือ "หนึ่งคณะ หนึ่งหมู่บ้าน"
ขับเคลื่อนไปได้สักระยะ ผมเริ่มค้นพบอุปสรรคและปัญหาต่างๆ เป็นรูปธรรมขึ้น นั่นก็คือ "ทักษะในการจัดกิจกรรมแบบมีส่วนร่วมกับชุมชน"
ด้วยเหตุนี้ระยะหลังๆ ผมจึงไม่พยายามให้แต่ละคณะลงพื้นที่พร้อมๆ กัน เพราะมันยากที่จะมอบหมายเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลกระบวนการต่างๆ ได้อย่างใกล้ชิดและทั่วถึง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น เรามีกระบวนการ "สอนงาน" และพาลงประสานงานพื้นที่มาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังพบว่าหลายอย่างยังคงเป็น "งานใหม่" สำหรับนิสิตอยู่วันยังค่ำ
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ระยะหลังผมจึงพยายามนำนิสิตในสังกัดคณะบางคณะลงชุมชนถี่ครั้งขึ้น ประสานงานโดยตรงกับแกนนำนิสิต พร้อมๆ กับการเชื่อมโยงไปยังรองคณบดีฝ่ายพัฒนานิสิตของคณะนั้นๆ...
กรณีสโมสรนิสิตคณะศิลปกรรมศาสตร์ก็เช่นกัน ผมถือว่าเป็นน้องใหม่ในการจัดกิจกรรมในชุมชนเป็นอย่างมาก นิสิตส่วนใหญ่ฝังตัวอยู่กับการเรียนในชั้นเรียน จะด้วยการเรียนที่เน้นทักษะปฏิบัติการจนต้องเคี่ยวเข็ญตัวเองดึกดื่น ไม่เว้นเสาร์อาทิตย์ก็เถอะ หรือแม้แต่ความเป็นศิลปินก็เกี่ยวโยงไม่แพ้กัน พลอยให้นิสิตยากยิ่งต่อการถีบตัวออกมาสู่กิจกรรมในทางสังคม-
เป็นกิจกรรมที่ท้าทายมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะกิจกรรมที่จัดขึ้นในในระหว่างการสอบกลางภาค แถมยังเป็นกิจกรรมที่จัดในวันราชการ ซึ่งแรกก็หวั่นใจเหมือนกันว่าจะมีคนเข้าร่วมไม่มากนัก แต่เอาเข้าจริงๆ นิสิตกลับเข้าร่วมกิจกรมอย่างล้นหลาม อีกทั้งชาวหอพัก ซึ่งถือว่าเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้มาก่อน ก็เทใจมาร่วมอย่างน่าชื่นชม
สิ่งเหล่านี้ก็เป็นภาพสะท้อนของความต่อเนื่องในอีกมุมหนึ่งด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่จัดกิจกรรมแล้วจากหาย ต่างฝ่ายต่างรู้สึกร่วมกันว่า "..หมู่บ้านเป็นเสมือนบ้านอีกหลังของนิสิต สายสัมพันธ์ความเป็นลูกฮักกับพ่อฮักและแม่ฮักถักสานสายใยขึ้นเรื่อยๆ มีการไปมาหาสู่กันเป็นระยะๆ..."
สำหรับผมแล้ว ผมว่าผมคิดไม่ผิดหรอกที่พยายามดึงเวลามาอย่างเนิ่นช้า รอเวลาจนนิสิตเกิดแรงบันดาลใจที่จะเรียนรู้แล้วค่อยพาเขาออกมาสู่ห้องเรียนอีกห้องหนึ่ง...
เมื่อนิสิตในคณะนี้เริ่มหยั่งรากได้ ผมและทีมงานก็จะถอยห่างไปหนุนนำคณะอื่นๆ ด้วยวิธีการเช่นเดียวกัน พร้อมๆ กับการนำคณะนี้หยัดยืนเป็น "พี่เลี้ยง" คณะอื่นๆ ไปในตัว ซึ่งเป็นกระบวนการของการ "สอนงาน สร้างทีม" ในระยะยาวตามแบบฉบับของผม
และนี่คืออีกปรากฏการณ์ความต่อเนื่องของกิจกรรมที่เริ่มผลิบานขึ้นทีละนิดๆ...
...
หมายเหตุ
ภาพโดยทีมงานประชาสัมพันธ์และสารสนเทศ
ภาพที่เกิดขึ้น เป็นกิจกรรมระหว่างการเดินทางกลับ
นิสิตจอดรถและร่วมลงแขกดำนาช่วยชาวบ้าน...
ต้องนับเป็นบุญตาเลยนะเนี่ย ที่ได้เห็นภาพนี้
พี่พนัสคะ
ชอบกิจกรรมนี้จัง เป็นกำลังใจให้ชาว มมส. ค่ะ ^_^
นาทดลองของแม่ใหญ่ โยนไปแล้วเมื่อ 22 ก.ค. ส่วนที่จมน้ำโดนหอยเชอรี่เขมือบเสียเรียบเลย วันที่ 12 ส.ค.นี้เราจะดำหนึ่งไร่ และซ่อมนาโยนนะคะ จะติดตามเรื่องราวต่อไปนะคะ
สมัสการพระคุณเจ้าฯ
ภาพกิจกรรมเหล่านี้ เป็นภาพที่เกิดขึ้นหลังเสร็จสิ้นกิจกรรมแปลงนาโยน ระหว่างเดินทางกลับสู่มหาวิทยาลัย พบเจอสองตายายกำลังปักดำอยู่กลางสายฝยที่หยาดริน จึงลงลุยช่วยกันแบบที่เห็น
สิ่งเหล่านี้คือความสุขของการได้เรียนรู้ครับ
สวัสดีครับ มะปรางเปรี้ยว
ขอบคุณสำหรับความปรารถนาดีและแรงใจที่ส่งมาให้อย่างสม่ำเสมอนะครับ
สวัสดีครับ แม่ใหญ่
ขอเป็นแรงกายและแรวใจสำหรับการลงลุยชีวิตในแปลงนานะครับ..
การทำนา เป็นวัฒนธรรม เป็นสายเลือดของคนในแผ่นดินสยาม...
ขอบพระคุณครับ