คำชะโนด ที่ใครๆกล่าวถึง


อยู่อุดรฯมาเกือบสิบปีแล้ว แต่เพิ่งมีโอกาสได้ไป "คำชะโนด" ก็ครั้งนี้ค่ะ
ครั้งนี้สามชวนหนึ่งไปเยี่ยมเยียนเพื่อนสาม(น้องโอ๊ต น้องเภสัช รพ.บ้านดุง) ซึ่งกำลังเตรียมตัวจะเป็นคุณแม่คนใหม่ค่ะ ^^
แอ้น หนึ่ง และสาม พร้อมออกเดินทางค่ะ ^^
ทริปนี้ออกเดินทางจากอุดรโดยมีสมาชิก ๓ คน คือ หนึ่ง สาม และน้องแอ้น (น้องเภสัชเพื่อสามอีกคน ที่เดินทางมาจากกาฬสินธุ์ เพื่อไปเยี่ยมว่าที่คุณแม่คนใหม่กันค่ะ)
เราตกลงจะไปรถคันเดียว คือรถน้องแอ้นค่ะ ทั้งสามสาวมั่นใจในการเดินทางว่าไม่มีหลงทางแน่นอน เพราะเรามี GPS ในมือถือ อิอิ แต่แล้วในที่สุด เราก็หลงทางกันจนได้ค่ะ ทั้งที่เส้นทางไปนั้น เป็นถนนเส้นเดียวกลางทุ่งนาที่ไม่มีทางแยกทางเลี้ยวตรงไหนเลย หลงทางซะงั้น (หลงได้ไงยังคงงงกันอยู่จนเดี๋ยวนี้ค่ะ) แต่ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาลบ้านดุงได้อย่างปลอดภัย
เก็บภาพไว้ซะหน่อยค่ะ สาม หนึ่ง โอ๊ต แอ้น
เมื่อเพื่อนเจอเพื่อนก็มีทบทวนความหลัง พูดคุยทักทายกันด้วยความคิดถึงกันเรียบร้อย เจ้าบ้านก็พาพวกเราไปเลี้ยงข้าว (อิ่ม อร่อยมากกกกกกกเลยค่ะ ขอบคุณเจ้าภาพนะคะ) และแค่นั้นยังไม่พอ น้องโอ๊ตและสามีก็ยังพาพวกเราไปเที่ยว "คำชะโนด" อีกด้วยค่ะ
    
ก่อนออกเดินทางแวะสวัสดีคุณแม่โอ๊ต ที่ร้านขายยาน่ารักๆของโอ๊ตค่ะ
คำชะโนด
ตำบลวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี  เป็นสถานที่ ที่ชาวบ้านมีความเชื่อว่า พญานาคาอาศัยอยู่ ชึ่งอยู่บริเวณวัดสิริสุทโธ เป็นที่น่าแปลกที่มีป่าขนาดใหญ่ปกคลุมด้วยนานาพรรณไม้โดยเฉพาะ ต้นชะโนด อยู่กลางทุ่งนา
คิดว่าทุกท่านคงเคยได้ยินเรื่องราวความเชื่อที่เล่าสืบต่อกันมาบ้างแล้ว
เรื่องเกิดขึ้นในราวเดือนมกราคม พศ. 2532 มีคนมาว่าจ้างให้หนังเร่ ไปฉายที่บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง ห่างจากตัวเมืองอุดรธานีประมาณ 100 กิโลเมตร โดยค่าจ้างตกลงกันไว้ 4000 บาท มีหนังฉาย 3-4 เรื่อง แต่มีข้อตกลงกันว่า ให้ฉาย 3 ทุ่มถึงแค่ตี 4 เท่านั้น ห้ามฉายถึงสว่าง พอตี 4 ก็ให้รีบเก็บข้าวของออกจากสถานที่ฉาย ซึ่งทางเจ้าของหนังแร่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร เพราะเห็นว่าเป็นความต้องการของผู้มาว่าจ้าง
ทางเจ้าของก็ส่งให้เจ้าหน้าที่ไปตามวันและเวลาที่ได้นัดหมายหนังเริ่มฉายตั้งแต่ตอน 3ทุ่ม ในตอนหัวค่ำไม่เห็นผู้คน ก็ยังสงสัยว่าหายไปไหนหมด แต่พอ3ทุ่มก็มีคนมาเป็นจำนวนมาก และที่แปลกคือ ผู้หญิงซึ่งนุ่งขาวห่มขาวจะนั่งอยู่ด้านหนึ่ง ส่วนผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีดำจะนั่งอีกข้างหนึ่ง และคนทั้หมดก็นั่งกันสงบเงียบเรียบร้อยเหมือนจะไม่เคลื่อนไหวตัว และที่ยิ่งกว่านั้นคือ ไม่ว่าจะฉายหนังอะไร ก็ไม่มีการส่งเสียงหรือแสดงความรู้สึก เหมือนกับฉายหนังกลางแปลงทั่วๆไป ฉายหนังบู๊ ก็เฉย ฉายหนังตลกก็เฉยคนเราอย่างน้อยถึงเป็นคนจริงจังยังไงผมว่าต้องแสดงออกมาบ้างว่าชอบหรือไม่ชอบ แต่นี้กลับอยู่ในอาการที่สงบ
แต่ที่น่าสังเกตุอีกอย่างคือปกติเวลามีการฉายหนังกลางแปลงในต่างจังหวัด ก็เหมือนกับมีงานเทศกาลสร้างความครึกครื้นให้คนในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก ร้านค้า ร้านอาหาร ต่างพากันมาเปิดเพื่อซื้อขายกันมากมาย งานนี้ กลับไม่มีเลย บรรยากาศโดยรอบดูเย็นยะเยือกไปหมด
พอถึงตี 4  มีคนมาบอกว่าให้เก็บข้าวของไปได้แล้ว อีกทั้งยังสั่งว่าเมื่อเก็บข้าวของเสร็จแล้ว ห้ามเหลียวหลังกลับมาดูเด็ดขาด พอทางเจ้าหน้าที่เก็บของและจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินทางออกจากที่ทำการฉายหนัง แต่ก็เอะใจในคำสั่ง เลยหันกลับไปดู พบว่าคนดูจำนวนมากเหล่านั้นไม่รู้หายไปไหนกันหมด หายไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาต่างฉงนสงสัย
อีกทั้งพื้นที่ตรงนั้นกลับเป็นป่าทึบที่แม้ที่ๆ จะเอาจอหนังขึงยังแทบจะไม่มี พอขับรถมาถึงหมู่บ้านวังทองตอนเช้าก็แวะซื้อของที่ร้านค้า ชาวบ้านเลยถามว่าไปฉายหนังที่ไหนมา เจ้าหน้าที่ ก็บอกว่าฉายในหมู่บ้านวังทอง แต่ชาวบ้านกลับยืนยันว่าไม่มีหนังมาฉายในหมู่บ้านเลย  แม้กระทั่งเสียงยังไม่ได้ยิน
ในที่สุดเมื่อสอบถามกันจนเป็นที่เข้าใจ ได้รู้ว่าไปฉายหนังที่ดงคำชะโนดซึ่งเป็นสถานที่ลึ้ลับที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเมืองพญานาค มีภูตผีปีศาจสิงสถิตอยู่ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้านวังทองนี่เองก็เลยเชื่อว่า"ถูกผีจ้างไปฉายหนังจริงอย่างที่ชาวบ้านว่า"
ที่เห็นไกลๆนั่นล่ะค่ะ คำชะโนดที่เค้าร่ำลือ
ตรงทางเข้าค่ะ
ปัจจุบันชาวบ้านเชื่อว่า ดงคำชะโนดเป็นที่อาศัยของพญานาคและเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ก่อนที่จะเข้าไป มีข้อห้ามอยู่หลายข้อด้วยกันคือ ห้ามใส่รองเท้า หมวก แว่นตา และร่มค่ะ เมื่อเราพร้อมกันแล้ว เดินเข้ามาตามสะพานรู้สึกได้ทันที่ว่าอากาศที่นี่เย็นเจ๊ยบเลยค่ะ เหมือนเปิดตู้เย็นตลอดเวลา ทั้งที่วันที่เราไปนั้นร้อนจัดมากๆ
ตรงบริเวณนี้ น้องโอ๊ตเล่าให้ฟังว่าเมื่อช่วงที่มีน้ำท่วมใหญ่ ทุ่งนาบริเวณนี้จมน้ำกันหมด ยกเว้นตรงจุดที่เขียนว่า แดนเทพ(ซึ่งก็คือเขตที่กำลังจะเข้าไปสู่ป่าคำชะโนดนั่นเอง) สังเกตบริเวณขอบสะพาน จะเห็นว่าเป็นตัวของรูปปั้นพญานาคที่มีรอยร้าว น้องเค้าบอกว่า บริเวณที่เป็นแดนเทพ(เขตป่าคำชะโนด) เฉพาะตรงนี้เท่านั้นที่ลอยตามน้ำขึ้นไป ส่วนตรงที่เป็นแดนมนุษย์จะจมน้ำเหมือนพื้นที่อื่นๆทั่วๆไปค่ะ ฟังแล้วรู้สึกขนลุกเลยค่ะ แหะๆ
เดินเข้ามาประมาณ ๓๐๐ เมตร ก็พบศาลที่มีผู้คนมาสักการะบูชาไม่ขาดสายค่ะ
บริเวณใกล้ๆมีฆ้องทั้งใหญ่และเล็กให้คนที่มาลูบ หากลูบฆ้องแล้วมีเสียงดังกังวาลขึ้นมา แสดงว่าจะโชคดีค่ะ
ถัดไปอีกหน่อยเป็นบริเวณบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ค่ะ
เป็นบ่อน้ำที่เชื่อกันว่าเป็นเส้นทางที่จะไปสู่เมืองบาดาล ใครที่มีโอกาสได้มาอย่าลืมดื่มน้ำหรือเอามาพรม เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้หายจากโรคภัยและเสริมมงคลให้กับตัวเอง
ทุกคนมองอะไรกันนะ
อ๋อ..เมื่อเข้ามาที่นี่สังเกตเห็นว่าต้นไม้ส่วนใหญ่คือต้นชะโนดที่สูงใหญ่มากๆๆ ลักษณะคล้ายต้นมะพร้าว ต้นปาล์มและต้นหมากรวมกัน ถ้าเราแหงนหน้ามองขึ้นไปก็จะเห็นภาพมุมแบบนี้ค่ะ แต่ถ้าเรามองก้มลงดูบริเวณโคนต้น ก็จะเห็นภาพข้างล่างนี้ อิอิ
และแทบทุกต้นจะมีโคนต้นสีขาวๆ เนื่องด้วยเหตุที่เห็นนี้เองโดยไม่ต้องสงสัยว่าใครมาใส่ปุ๋ยหรือไม่ค่ะ (ส่วนใครจะเห็นเลขอะไรนั้น ดวงใครก็ดวงใครนะคะ อิอิ)
สำหรับันทึกนี้ขอจบไว้ตรงนี้ดีกว่า ขอให้ทุกท่านโชคดีค่า ^^

ขอขอบคุณ

  • สมาชิกทริปทุกท่านที่ทำให้ทริปนี้เป็นทริปที่น่าประทับใจจริงๆค่ะ

  • ขอบคุณเจ้าบ้าน (น้องโอ๊ตและสามี)

  • ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านค่ะ

  • ข้อมูลดีๆจาก google อีกแล้วค่ะ

คำสำคัญ (Tags): #คำชะโนด
หมายเลขบันทึก: 452824เขียนเมื่อ 7 สิงหาคม 2011 13:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 21:02 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (18)

รูปสุดท้ายนิ ถ่ายทอดความเป็นไทยๆ ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนเลยครับ คิคิคิ

สวสดีค่ะคุณอักขณิช

สำหรับรูปสุดท้ายนี่ชัดเจนมากๆๆค่ะ อิอิ

ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจค่ะ ^^

เคยได้ยิน เพื่อนที่รพ อดรเล่าให้ฟังครั้งหนึ่งแล้ว

ขอบคุณที่นำมาแบ่งปัน ไปอุดร ครั้งต่อไปขอเยือนคำชะโนดด้วย

สวัสดีค่ะคุณวอญ่า-ผู้เฒ่า-natachoei

คำชะโนด ดินแดนแห่งตำนานพญานาคา (ปัจจุบันผู้คนจำได้เพียง เป็นดินแดน "ผีจ้างหนัง" ไปซะแล้วค่ะ ^^")

ขอบคุณสำหรับดอกไม้และกำลังใจค่ะ ^^

เอ............แล้วน้องหนึ่งถามเค้ามั้ยว่าได้เลขอะไรบ้าง    เผื่อโชคดี อิ อิ

 

น่าสนใจนะ........ถ้ามีโอกาสก็อยากไปเที่ยวดู

พี่ติกก็ได้เคยอ่านเรื่องนี้เหมือนกัน

สวัสดีค่ะพี่ติก

ของงี้ถามไปเค้าก็ไม่บอกค่ะพี่ติก คุณยายเค้าบอกว่า เค้าถือกัน ถ้าบอกเลขจะเลื่อนได้ อิอิ

ต้องลองส่องดูเอาเอง หนึ่งลองส่องดู (แอบยืนดูข้างหลัง) ก็ไม่เห็นเลขอะไรเลยค่ะ แหะๆ สงสัยหนึ่งจะไม่มีดวงทางนี้ ๕๕๕

ขอบคุณพี่ติกค่ะ ^^

อ้อ..ครับ..คนที่ฉายหนังในคืนนั้น ปัจจุบัน เขา มาอยู่ที่บ้านผมเองครับ ..แล้วก็ยังทำธุระกิจฉายหนังเหมือนเดิม...

สวัสดีค่ะคุณกิ

จริงป่าวคะ อิอิ

ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจค่า ^^

เพื่อนเป็นลูกจ้างอยู่รพ.อุดร เป็นอุปนายกฝ่ายบริหารของสมาคมลูกจ้างกระทรวงสาธารณสุขเคยเล่าสู่กันฟัง ผมชอบสถานที่แบบนี้ครับ

น้อมมะลิพุ่มดอกไม้ไว้เหนือเศียร

ต่างธูปเทียนบูชาไท้มไหศวรรย์

ทรงพระชนม์พ้นกาลนานนิรันดร์

เป็นมิ่งขวัญทั่วแดนในแผ่นดิน

 

  • น้องหนึ่งครับ
  • สรุปว่าลูบฆ้องแล้วดังไหม
  • เจอภาพสุดท้ายแล้วรู้เลยว่า เมืองไทย ฮ่าๆๆ

สวัสดีครับ... น่าตื่นเต้นดีครับ...หากอยู่ใกล้สักนิดจะตามไปดูให้เห็นกับตา...เผื่อจะได้ตัวเลขกับเขาบ้างครับ...

เคยได้ยินมาเหมือนกันว่ามีพญานาคอาศัยอยู่ แล้วบ่อน้ำที่ว่า ว่ากันว่าเป็นทางขึ้นลงของพญานาค หลวงปู่คำตาเล่าว่า สมัยท่านเป็นเด็กๆ ไปทำนาแถวนั้น และไปเล่นน้ำในบ่อแล้วหายไป พ่อแม่ตามหาอยู่เจ็ดวันจึงไปพบตัวนอนหลับอยู่ในดงคำชะโนดนี้ ท่านรู้สึกเหมือนกับว่าได้เข้าไปในเมืองลึกลับแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใต้ดิน หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นท่านก็เลยอุทิศตัวบวชเป็นพระมาตลอด

สวัสดีค่ะท่านอาจารย์โสภณ

ขอบพระคุณค่ะ ^^

สวัสดีค่ะอาจารย์ขจิต

แหะๆ สรุปว่าหนึ่งไปกัน ๕ คน ไม่มีใครลูบฆ้องดังซักคนเลยค่ะ แต่เวลาคนอื่นเค้ามาลูบ ก็เห็นดังกังวาลกันใหญ่ อิอิ

ภาพสุดท้ายนี่ไม่ต้องบรรยายค่ะ 555

สวัสดีค่ะคุณป่าไม้เลื้อย/พาดีซอ

มีโอกาสมาแถวๆนี้ แวะมาได้เลยนะคะ เลขยังไม่หายไปไหนค่ะ อิอิ

สวัสดีค่ะคุณNopparat Pongsuk

ใช่ค่ะ น้องที่อยู่ในพื้นที่ก็เล่าให้ฟังว่า บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นทางขึ้นลงของพญานาค

ขอบคุณค่ะ ^^

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท