วิโรจน์ แก้วเรือง
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดอาคารที่ทำการกรมหม่อนไหม และกรมการข้าว เมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๘.๐๐ น. พระองค์ทรงประทับอยู่ที่กรมหม่อนไหม นานถึง ๔ ชั่วโมง นับเป็นพระมิ่งมงคลสูงสุดต่อพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้าง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เกิดความมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่และอนุรักษ์สืบสานอาชีพทางวัฒนธรรมของชาติให้คงอยู่คู่แผ่นดินไทยสืบไป ด้วยพระองค์ทรงเล็งเห็นว่า “ไหม คือ ศรีแห่งแผ่นดิน”
ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ภาระอันยิ่งใหญ่ของกรมหม่อนไหม
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้ง กรมหม่อนไหมเพื่อให้เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านต่างๆ ได้แก่ งานวิจัย งานส่งเสริม งานรักษ์คุ้มครอง รวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับหม่อนไหมอย่างครบวงจร ให้เกิดประโยชน์ต่อวงการหม่อนไหมตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนสืบสาน จรรโลง สร้างภาพลักษณ์ของไหมไทยอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งภารกิจทั้งมวลล้วนเป็นไปเพื่อสร้างความเข้มแข็งและมั่นคงในอาชีพหม่อนไหมสืบไป ดังพระราชดำรัสในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินาถที่ทรงพระราชทานเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๔๒ ณ โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริบ้านแม่ตุงติง ตำบลแม่สาป อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ที่ว่า“การเลี้ยงไหมนอกจากจะเป็นการเสริมรายได้แก่เกษตรกรแล้ว ยังเป็นวัฒนธรรมอันเก่าแก่และดีงามของชาติไทยที่สืบต่อกันมานานอีกด้วย ไม่ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร การพัฒนาการเลี้ยงไหมก็ต้องดำเนินต่อไป”
เก้าสิบหกปีที่กรมหายไป
ประเทศไทย เมื่อครั้งยังเป็นสยาม ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง “กรมช่างไหม” ขึ้น เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๔๔๖ สังกัดกระทรวงเกษตราธิการ โดยมีพระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงษ์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม พระราชโอรสองค์ที่ ๓๘ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาวิชาการเกษตรจากประเทศอังกฤษ) เป็นอธิบดีพระองค์แรก
กรมช่างไหม มีหน้าที่เผยแพร่ความรู้ วิชาการและวิทยาศาสตร์ด้านไหมและมุ่งหวังสร้างผู้รู้ผู้ชำนาญชาวไทย เพื่อไปพัฒนาการทำไหมของเกษตรกรในภาคอีสาน และภาคเหนือ ลดการนำเข้าผ้าไหมจากต่างประเทศ การพัฒนาการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การสาวไหม การฟอกย้อมสี และการทอผ้าไหมของไทย จึงเจริญรุดหน้าไปเป็นลำดับ
ด้วยเหตุการณ์สิ้นพระชนม์ของกรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๕๒ ขณะที่พระองค์ทรงมีพระชันษาเพียง ๒๗ ปี ๒ เดือน ต่อมาอีกไม่ถึงหนึ่งปีเต็ม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงสวรรคต เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ ทำให้ขาดการทำนุบำรุงกิจการด้านหม่อนไหมอย่างต่อเนื่อง กอปรกับเกิดการระบาดของโรคไหม กรมช่างไหมจึงถูกยุบไปในปี พ.ศ.๒๔๕๖
การพัฒนาไหมไทยเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่อง แม้จำนวนเกษตรกรจะลดลงแต่การผลิตไหมของไทยมิได้ลดลงเลย การส่งออก และการบริโภคผ้าไหมของชาวไทยก็ยังคงรักษาระดับใกล้เคียงกันตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เพื่อให้การทำไหมของไทยมีความยั่งยืน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานชื่อหน่วยงานที่รับผิดชอบการทำไหมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า “สถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๔๘ ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๘ จึงมีการจัดตั้งหน่วยงานดังกล่าว สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดังปรากฏในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๒๒ ตอนที่ ๖๕ ก หน้าที่ ๒๓ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๘ โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาฤกษ์อาคารที่ ทำการสถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ บริเวณเกษตรกลางบางเขน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๐
สถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ได้รับการสถาปนาเป็น “กรมหม่อนไหม” กรมลำดับที่ ๑๔ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีผลเป็นหน่วยงานตามกฎหมายตั้งแต่วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๒ นับได้เป็นเวลาถึง ๙๖ ปี ที่มีการจัดตั้งหน่วยงานระดับกรมที่รับผิดชอบด้านการทำไหมกลับมาอีกครั้ง หลังจากถูกยุบไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๖ โดยใช้อาคารที่ทำการของสถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งกำลังดำเนินการก่อสร้างเป็นที่ทำการของกรมหม่อนไหม ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดอาคารที่ทำการกรมหม่อนไหม เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔
โปรดติดตามตอนต่อไปครับ...
ไม่มีความเห็น