"ไม่สบายหรือเปล่าลูก?" เสียงของแม่ที่ศรีสะเกษถามผมด้วยความเป็นห่วงทางโทรศัพท์มือถือเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
“ผมเป็นไข้นิดหน่อยครับแม่ เดี๋ยวกินยาและนอนพักสักหน่อยก็คงจะดีขึ้น” ผมตอบ พร้อมทั้งถามแม่ด้วยความสงสัยว่า “ เอ่อ! แล้วแม่รู้ได้อย่างไรละครับ ว่าผมไม่สบาย?”
แม่ตอบผมมาว่า “ อ๋อ! ก็รู้ได้ด้วย “สัญญาณพิเศษ” แบบเดิมๆ ที่แม่เคยเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรนั่นแหละ ยังไงๆ ก็รักษาสุขภาพด้วยน่ะลูก แม่คิดถึงและเป็นห่วงมากเลยน่ะ รู้ไหม?”
“ครับแม่ ผมก็คิดถึงและเป็นห่วงแม่เช่นเดียวกันนะครับ ขอให้แม่รักษาสุขภาพมากๆ ด้วยนะครับ” ผมบอกกับแม่ด้วยความห่วงใย ก่อนที่แม่จะวางสายลง
ในบรรดาลูกๆ ทั้ง 6 คน มีผมเพียงคนเดียวที่พลัดพรากจากอ้อมอกของพ่อแม่มาตั้งแต่อายุ 13 ปี หลังจากบวชหน้าไฟเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับยายที่เสียชีวิตลง จากนั้นก็ได้อาศัยร่มผ้ากาสาวพัสตร์เป็นที่พึ่งและเป็นเข็มทิศสำหรับเดินทางท่องไปสู่อีกฟากหนึ่งของโลกตามลำพังคนเดียวอย่างยาวนานเกือบ 20 ปี จนทำให้ผมกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับน้องๆ ไปเลย เนื่องจากนานๆ ถึงจะมีโอกาสได้เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนอนสักครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม สำหรับแม่แล้ว แม่บอกว่าไม่เคยรู้สึกห่างเหินแต่อย่างใดเลย ผมยังอยู่ในความทรงจำของแม่ทุกลมหายใจ ไม่ว่าแม่จะอยู่หรือไปที่ใด ผมก็ไปและอยู่กับท่านตลอดเวลา
หลายครั้งที่ผมไม่สบายหรือเจ็บป่วยหนักถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล ผมไม่เคยบอกแม่เลย เพราะไม่อยากให้ท่านไม่กังวลหรือทุกข์ใจ แต่ถึงท่านกระนั้นท่านก็สามารถล่วงรู้จนได้ ด้วย “สัญญาณพิเศษ” ของท่าน
“สัญญาณพิเศษ” ของแม่ที่ว่า ก็คือ “อาการเจ็บนม” หรือ “ปวดที่เต้านม” โดยไม่ทราบสาเหตุนั่นเอง เป็นการเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน เป็นได้ทั้งข้างซ้ายและข้างขวา ลักษณะการเจ็บนั้น บางครั้งก็เจ็บแบบตุ๊บๆ ตั๊บๆ บางครั้งก็เจ็บเหมือนอาการคัดนม บางครั้งเจ็บน้อย แต่บางครั้งก็เจ็บมากและนาน
ทุกๆ ครั้งที่แม่เจ็บนมแบบ “สัญญาณพิเศษ” ขึ้น ท่านจะรู้ได้ทันทีว่าต้องมีลูกคนใดคนหนึ่งไม่สบายแน่ๆ จากนั้นแม่ก็จะสอบถามลูกๆ ทุกคนดูว่ามีใครไม่สบายหรือเปล่า หากน้องของผมอีก 5 คน ต่างก็สบายดี แม่ก็จะรู้ได้ทันทีว่า คนที่ไม่สบายต้องเป็นผมอย่างแน่นอน และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เสียแทบจะทุกครั้ง
ในบรรดาพี่น้องทั้ง 6 คนนั้น ผมเป็นคนที่มีร่างกายอ่อนแอที่สุด เรียกว่าเป็นคนขี้โรคเลยก็ว่าได้ เพราะว่าผมเจ็บป่วยค่อนข้างบ่อย และเคยผ่านการผ่าตัดเล็กและผ่าตัดใหญ่มาแล้วถึง 9 ครั้ง แถมบางครั้งอาการหนักถึงขั้นชีพจรหยุดเต้นแล้วฟื้นขึ้นมาอีกก็เคยมี จนผมรู้สึกชาชินและมีความรู้สึกว่าความเจ็บป่วยนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม ซึ่งไม่มีวันที่จะแยกออกจากกันได้
เมื่อผมกลับไปเยี่ยมแม่ที่บ้านเกิดทีไร แม่ก็มักจะสอบถามผมว่า “ช่วงนั้นแม่เจ็บนมมากเลย ไม่สบายหนักหรือเปล่าลูก?” และเมื่อผมคำนวณช่วงระยะเวลาที่แม่บอกดูแล้ว ก็ตรงกับช่วงที่ผมป่วยหนักในช่วงนั้นจริงๆ
ช่วงที่ผมป่วยหนักจากโรคน้ำท่วมปอดตอนอยู่ที่อินเดีย(เมื่อ 12 ปีที่แล้ว)และเดินทางมารักษาตัวที่เชียงใหม่เป็นเวลาเดือนกว่า แม่ก็บอกว่ารู้สึกเจ็บนมมากๆ และเจ็บอยู่หลายวัน ท่านรู้สึกได้ทันทีว่าผมต้องป่วยหนักแน่ๆ ท่านบอกว่าท่านได้แต่ร้องไห้ด้วยความคิดถึงและเป็นห่วงผมอย่างสุดหัวใจ
อีกครั้งหนึ่ง เมื่อคราวที่ผมป่วยหนักตอนอยู่ที่สหรัฐอเมริกาอันเนื่องมาจากไส้ติ่งอักเสบและแตกก่อนจะถึงมือหมอหลายชั่วโมง จนทำให้ผมอาการทรุดหนักถึงขั้นวิกฤติและต้องนอนอยู่ห้องไอซียูถึง 5 วัน(เมื่อ 11 ปีก่อน) ตอนนั้นแม่ก็มีอาการเจ็บนมมากอย่างผิดสังเกต และเจ็บอย่างนั้นอยู่หลายวัน เลยทำให้ท่านร้องไห้เพราะคิดถึงและเป็นห่วงผมอยู่นาน เมื่อผมออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผมก็โทรศัพท์ทางไกลไปหาท่านๆ ก็ถามอย่างเดิมว่า “ป่วยหนักใช่ไหม? เป็นอะไรมากไหมลูก? แม่คิดถึงและเป็นห่วงลูกมากเลยน่ะ อยากจะไปหาก็ไปไม่ได้ เพราะอยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน” จนทำให้ผมรู้สึกอึ้งและอัศจรรย์ใจอย่างบอกไม่ถูก
แม่บอกว่าท่านมีสัญญาณพิเศษแบบนี้มาตั้งแต่สมัยผมยังแบเบาะแล้ว และไม่ใช่ท่านเพียงคนเดียวที่มีสัญญาณพิเศษแบบที่ว่านี้ หากแต่บรรดา “ผู้หญิงที่เป็นแม่” แถวๆ บ้านเกิดของผมในแถบอีสานใต้ ต่างก็มีความเชื่อเกี่ยวกับสัญญาณพิเศษนี้คล้ายๆ กัน จะต่างกันก็ตรงที่ว่า ใครจะเชื่อมากหรือเชื่อน้อยกว่ากัน และสัญญาณพิเศษของใครจะแม่นมากกว่ากันเท่านั้นเอง
แต่สำหรับแม่ผมแล้ว สัญญาณพิเศษของท่าน.....แม่นยำเสมอครับ
หลายครั้งที่ผมพยายามค้นหาคำตอบจากความมหัศจรรย์แห่งสัญญาณพิเศษของแม่ แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดนักในแง่ของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ได้แต่อนุมานว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เท่านั้นเอง
แต่ในแง่ของจิตใจหรือจิตวิญญาณแล้ว ผมเชื่ออย่างสุดหัวใจเลยว่า นี่คือ “การสื่อสารทางไกลระหว่างจิตสองดวงที่มีความรักและความผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้นระหว่างแม่กับลูก” ซึ่งเป็นสายใยหรือความผูกพันที่มิอาจจะพรากหรือแยกออกจากกันได้ ไม่ว่าระยะทางจะห่างไกลกันเท่าใด หรือกาลเวลาจะเนิ่นนานเพียงไรก็ตาม
หลายๆ คนอาจจะเคยเกิดความรู้สึกว่า เอ! ทำไมอยู่ๆ ตาข้างใดข้างหนึ่งก็กระตุกขึ้นมาเฉยๆ แถมบางครั้งก็เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นเวลานานด้วย จนทำให้หลายคนมีความเชื่อว่า วันนี้จะต้องมีแขกทางไกลหรือคนสำคัญมาเยี่ยมบ้านอย่างแน่นอนเลย
ผมคิดว่า “สัญญาณพิเศษ” ของแม่ผม ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกับอาการตากระตุกขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุกระมัง เป็นการสื่อสารแบบพิเศษที่ไม่มีใครสามารถจะอธิบายถึงเหตุผลของการเกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนนัก
โดยสรุปแล้ว นมของแม่ผมนั้น ผมถือว่าเป็น “นมวิเศษ” ซึ่งทำหน้าที่อย่างหลากหลาย เป็น “อาหารทิพย์” ที่ใช้หล่อเลี้ยงผมและน้องๆ ให้อิ่มหนำและเติบโตเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบ เป็น “ยาวิเศษขนานเอก” ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับพวกผมในตอนเยาว์วัย และต่อมายังได้ทำหน้าที่เป็น “สัญญาณพิเศษ” สำหรับคอยสื่อสารหรือแจ้งเตือนให้แม่ได้ทราบในยามที่ลูกๆ เจ็บป่วยได้อีกด้วย
คุณผู้หญิงครับ! “สัญญาณพิเศษ” ที่แม่ผมมีอยู่
บางที.....อาจจะมีอยู่ในตัวของคุณเองด้วย ก็อาจจะเป็นไปได้นะครับ.
เพลง "อิ่มอุ่น"
แต่งโดย "ศุ บุญเลี้ยง"
ร้องโดย "ด.ญ.กชกร สมบูรณานนท์"
ที่ลูกร่ำร้องเพราะต้องการไออุ่น....
แวะมาทักทายและเยี่ยมเยียนค่ะ
พลังความรักของแม่และลูกช่างอัศจรรย์เหนื่อคำบรรยายจริงๆค่ะ
สัมผัสได้ด้วยหัวใจ ^^
แวะมาขอบคุณที่ไปให้กำลังใจ แล้วเลยได้แวะมาอ่านบันทึกดีๆ บางครั้งเราก็มีเรื่องที่คนอื่นไม่ได้รู้จักด้วยเป็นสัญญาณ เฉพาะโดยเฉพาะความผูกพันของลูกและบุพการี เป็นเรื่องที่อัศจรรย์ยิ่งนัก....สัมผัสได้ด้วยความรักและหัวใจจริงๆค่ะ
สัญญาณพิเศษยังไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะลูกยังอยู่ด้วยตลอดตั้งแต่เล็ก
จนทำงาน ถ้าเขาไปอยู่ไกลๆคงได้รู้สึกกันบ้างนะคะ
สวัสดีครับ อาจารย์โสภณ
แถวๆ บ้านผมที่ศรีสะเกษ เขามีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้นะครับ
โดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่รุ่นๆ แม่ของผม ส่วนคุณแม่รุ่นใหม่นั้น ปัจจุบันไม่เคยรู้เรื่องราวเหล่านี้ด้วยซ้ำไป
ไม่แน่ใจว่าเกิดจากสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า....ก็ไม่อาจทราบได้นะครับ
สวัสดีครับ คุณอาร์ม
ขอบคุณมากครับ ที่กรุณาแวะเข้ามาเยี่ยมเยือนและให้กำลังใจ
พลังของความรักมีอยู่จริงนะครับ ไม่ว่าจะเป็นความรักของแม่กับลูก หรือความรักในรูปแบบอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นความรักแบบใดก็ตาม....หากเรารู้จักเรียนรู้หรือทำความเข้าใจ
เราก็จะพบว่ามันมีอานุภาพและมีความมหัศจรรย์เสมอครับ
สวัสดีครับ คุณครูพิกุล
ดีใจที่ได้พบและได้รู้จักกับคนเมืองเลยครับ (คนอีสานคือกัน)
ขอให้คุณครูและครอบครัวมีความสุข และข้ามพ้นจากความเศร้าหมองโดยไวนะครับ
หากเราเชื่อมั่นในความรัก....อานุภาพของความรักจักทำให้เราพบเจอแต่สิ่งที่ดีงามเสมอครับ
สวัสดีครับ คุณครู krugui chutima
ขอบคุณมากๆ ครับ ที่แวะเข้ามาเยี่ยมและให้กำลังใจเป็นประจำ
สัญญาณพิเศษ....จะเกิดขึ้นในยามเจ็บป่วยเท่านั้นนะครับ(แม่ผมบอกอย่างนั้น)
แม้ว่าลูกจะอยู่ใกล้ๆ หากลูกเจ็บป่วยจริง สัญญาณพิเศษก็สามารถเกิดขึ้นได้เหมือนกันครับ
แต่ที่เราไม่รู้....อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน หรืออาจจะไม่เคยสังเกตก็ได้นะคร
อย่างไรก็ตาม.....สัญญาณพิเศษ หากเกิดขึ้นบ่อยๆ ก็ไม่ค่อยดีนะครับ
เพราะนั่นหมายความว่า....ลูกๆ เจ็บป่วยบ่อย และจะทำให้ผู้เป็นแม่มีความทุกข์มากกว่ามีความสุขนะครับ
น่าสนใจคะ สัญญาณพิเศษ..ที่เกิดจากสายใยความผูกพัน
ในหมู่พี่น้องก็เคยพูดกัน
-- เอ แม่เรานี่เป็นแม่มด (เลยรู้ความลับไปซะหมด) หรือเปล่าหนอ
สวัสดีครับ คุณหมอ CMUpal
คนเฒ่าคนแก่แถวอีสานบ้านผมเขาเชื่ออย่างนี้จริงๆ นะครับ
โดยเฉพาะแม่ของผมจะเชื่ออย่างสนิทใจเลยทีเดียว
แต่คุณแม่ยุคใหม่จะยังเชื่ออยู่หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้
สำหรับผม....ตอนแรกไม่เชื่อเลย แต่พอแม่เล่าให้ฟังบ่อยๆ ก็เลยเชื่อครับ
อยากแนะนำให้คุณหมอทำวิจัยเรื่องแบบนี้จังเลยครับ
สวัสดีค่ะคุณอักขณิช
เืพื่อนร่วมงาน เคยมีสัญญาณแบบนี้เหมือนกัน
ตอนเด็กๆ เวลาแม่เขาปวดหัวมากๆ
ลูกจะมีเลือดกำเดาไหลตลอดค่ะ
เื่พื่อนบอกว่าแม่ต้องยกเขาให้คนอื่นไปเลี้ยงดูจนโต
ตอนนี้ ไม่มีปัญหาแล้วค่ะ
มีคนเคยวิเคราะห์ว่า เกิดจากการตกฟาก
ธาตุของแม่กับลูกมีความเกี่ยวพันกันอย่างไรไม่ทราบ
สวัสดีครับ คุณหญ้าแสนฝน
-เรื่องที่คุณหญ้าแสนฝนกล่าวมา ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกนะครับ
แปลกตรงที่ว่าเมื่อยกลูกให้คนอื่นแล้วอาการแบบนี้ก็จะหายไป
ซึ่งมีความแตกต่างจากอาการที่แม่ของผมเป็นโดยสิ้นเชิง
ทั้งนี้เพราะว่า ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล
หากผมเกิดไม่สบายขึ้นมา แม่ก็จะเกิดอาการเจ็บนมขึ้นมาทุกครั้ง
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความ "ใกล้-ไกล" ไม่มีผลต่อเรื่องนี้แต่อย่างใดเลย
อาการนี้จะยังมีอยู่เสมอ ตราบเท่าที่แม่กับลูกยังมี "ความผูกพัน" ต่อกัน
-ผมไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไรนะครับ
บางทีการตกฟาก....ก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งนะครับ
แต่ที่ชัดเจนที่สุด ก็คงจะเกิดจาก "สายใยผูกพัน" ระหว่างแม่กับลูกนะครับ
-ขอบคุณมากๆ ครับ ที่กรุณาแวะเข้ามาเยี่ยมและร่วมแสดงความคิดเห็นในบันทึก(เก่า)เรื่องนี้