Nella Fantasia
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าหลายท่านคงได้รับอีเมล์ส่งต่อลิงค์เรื่องหนุ่มเกาหลีที่ชื่อ Chong Bong Sui อายุ 22 ขับร้องเพลงเนลา แฟนตาเซีย ในการแข่งขันเกาหลีกอตทาเล็นรอบแรก ซึ่งปรากฏว่าร้องได้ดี มีผู้ชมวีดีโอทางยูทูบจากทั่วโลกมากกว่า 5 ล้าน ซึ่งต้องยอมรับว่าประทับใจในความสามารถของหนุ่มเกาหลีคนนี้มาก http://www.youtube.com/watch?v=BewknNW2b8Y
ตามประสาบล๊อคเกอร์โกทูโน ที่เมื่อได้ข้อมูล ไม่หยุดอยู่แค่นั้น ผมค้นหาข้อมูลของ Nella Fantasia ต่อไป ก็พบถึงความเป็นมาและความมีเสน่ห์ของเพลงนี้ ที่มีเรื่องราวที่เป็นโศกนาฏกรรม ของบาทหลวงกาเบรียล ชาวสเปญที่เข้าไปเผยแพร่ศาสนาในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในอเมริกาใต้ ทำให้ได้ข้อคิดหลายประการจากบทเพลงนี้ เป็นเรื่องการแย่งชิงอำนาจของประเทศมหาอำนาจในยุคล่าอาณานิคม ซึ่งอันการแย่งชิงอำนาจในยุคปัจจุบันก็ยังมีให้เห็นไม่ได้แปรเปลี่ยนรูปแบบไปนักเลย
การทำสงครามโดยตรงอาจน้อยลง การรุกราน การสู้รบกันประปรายตามชายแดนยังคงมีให้เห็นและรูปแบบใหม่คือการสงครามในรูปของเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและศาสนาซึ่งประเทศมหาอำนาจยังคงใช้อยู่มาก โดยเฉพาะทางด้านวัฒนธรรม เรียกว่า soft power นิยมใช้กันมาก
ผมบังเอิญได้อ่านคำสัมภาษณ์ของผู้แทนการทูตประเทศหนึ่ง(ไต้หวัน) กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของตนกับอินเดีย มีประเด็นที่น่าสนใจและต้องคิดต่อ จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้
อินเดียในสายตาของคนไต้หวัน มีอิทธิพลในเรื่องต่างๆ ดังนี้ ประการแรกพุทธศาสนาเนื่องจาก ร้อยละ 85 ของชาวไต้หวันเป็นพุทธ ประการที่สอง ระพินนารถ ฐากูรซึ่งไต้หวันยกย่องมาก มีการแปลบทกวีของระพินนาถรเป็นภาษาไต้หวันอย่างแพร่หลาย รวมทั้งใช้เป็นบทเรียนของนักเรียนเกรด 6 ทั่วประเทศ ประการที่ 3 ก็คือมหาตมะ คานธีที่ได้ต่อสู้กับอังกฤษ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไต้หวันต่อสู้กับกองกำลังต่างชาติที่รุกรานเช่นกัน และในปัจจุบันไต้หวันก็ได้ตระหนักถึงอิทธิพลใหม่ๆ ของอินเดียนั่นคือในด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งภาพยนตร์บอลลีวู๊ดที่ชาวไต้หวันนิยมกันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง 3 Idiots หรือ My Name Is Khan ก็เป็นภาพยนตร์ที่ติดอันดับภาพยนตร์ยอดนิยม แต่แม้ว่าจะมีความเชื่อมโยงจากสิ่งที่กล่าวมาแล้ว ของคนของทั้งสองประเทศในหลายเรื่องตามที่กล่าวมาแล้ว ผู้แทนทางการทูตไต้หวันกล่าวว่าแต่ก็ดูเหมือนประชาชนของทั้งสองประเทศจะไม่ได้สนใจกันและกันนัก จะแก้ไขอย่างไรดี
วิธีการดั่งเดิมที่ใช้กันก็คือผ่านการเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม ภาพยนตร์ ดนตรีและการท่องเที่ยว แต่ที่ดีที่สุดคือการส่งเสริมให้มีการเรียนภาษาแมนดารินในอินเดียซึ่งไต้หวันมีผู้ที่พร้อมจะสอนภาษามากมาย
ไต้หวันมีโครงการส่งเสริมจำนวนนักศึกษาต่างชาติในไต้หวันจาก ร้อยละ 3 ให้เป็นร้อยละ 10 โดยเห็นว่าเมื่อนักศึกษาต่างชาติเหล่านี้มาใช้ชีวิตในไต้หวันก็จะซึมซับความประทับใจความเข้าใจต่างๆ ได้และกลายเป็นมิตรของประเทศ อีกทั้งการเรียนในไต้หวันก็ถูกกว่าไปเรียนในยุโรปหลายสิบเท่า สำหรับนักศึกษาอินเดีย มีอยู่จำนวน 500 คนในไต้หวัน ก็มีแผนจะเพิ่มให้เป็น 5000 คนใน 5-6 ปีข้างหน้า
การค้าทิวภาคีไต้หวันอินเดียก็มีมุลค่าสูงมากถึง 6.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งตั้งเป้าที่จะเพิ่มเป็น 10 พันบ้านเหรียญใน 3-4 ปีข้างหน้า........ฯลฯ
ผมเล่าถึงไต้หวันมองอินเดีย แต่ก็มิได้หมายถึงไต้หวันเป็นการเฉพาะ เพราะหลายเรื่องที่ไต้หวันมองอินเดียก็มีลักษณะคล้ายกับความเชื่อมโยงระหว่างไทยกับอินเดีย เช่นเรื่องพุทธศาสนาและความศรัทธาในตัวมหาตมะ คานธี วิธีการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ได้ข้อคิดจากตัวอย่างของไต้หวันนี้สามารถนำมาใช้กับประเทศไทยได้เช่นกัน เช่นการสอนภาษาไทยให้คนอินเดีย น่าคิดมาก รวมทั้งการให้ทุนนักศึกษาอินเดียไปเรียนในประเทศไทยซึ่งเราคงไม่เคยคิดในมุมนี้หรืออาจไม่สนใจที่จะคิดในมุมนี้มาก่อน
แน่นอนว่าการส่งเสริมความสัมพันธ์กับอินเดียที่ผ่านมา ไทยเราได้ดำเนินการมาในระดับหนึ่ง แต่หากได้เรียนรู้จากรูปแบบของประเทศอื่นๆ เช่นไต้หวันนี้ ก็น่าจะทำให้เราต้องตระหนักคิดว่า เราเองก็ต้องพยายามส่งเสริมความสัมพันธ์กับอินเดียให้มากขึ้นและในมุมมองที่แตกต่างออกไปจากวิธีการดั่งเดิม
ผมพูดถึงเรื่องไต้หวันแต่จริงๆ ก็เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ด้านนโยบายต่างประเทศของไทยกับอินเดียโดยตรง
บันทึกหน้ามาดูความเป็นมาของบทเพลง Nella Fantasia และความประทับใจในเนื้อเพลงนี้กันครับ
ไม่มีความเห็น