“เบดูอิน” = ชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทราย โดยธรรมชาติจะแยกกันอยู่เป็นกลุ่มเล็ก กลุ่มน้อย เร่ร่อน กระจัดกระจายอยู่ในทะเลทราย ไม่ค่อยยอมรับกติกาหรือการบังคับบัญชาของใคร ยึดถือกฎ ระเบียบ ธรรมเนียมของทะเลทราย
“ชี้คฮาบาซ” =ชายผู้ซึ่งประกาศตนเป็นผู้นำเบดูอิน รวบรวมเบดูอินที่กระจัดกระจายให้เป็นกลุ่มใหญ่ เป็นปึกแผ่นเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หยุดการเร่ร่อน ปลอดภัยจากการถูกรุกรานของคริสเตียน อาหรับ แม้กระทั่งเบดูอินด้วยกัน บ่อยครั้งที่ต้องรอนแรมฝ่าความร้อนระอุ ความเหน็บหนาวของทะเลทรายอันเวิ้งว้างเพื่อพบปะกับบรรดาผู้นำกลุ่มต่าง ๆ ชี้ชวนให้เห็นถึงผลดีของการรวมกันเป็นกลุ่มก้อน บางครั้งความพยายามก็เป็นผลสำเร็จ บางครั้งล้มเหลว ถูกเย้ยหยันถากถางต่าง ๆ และบางครั้งก็ถึงกับต้องจับอาวุธขึ้นสู่กัน
“ดาวีช” = ลูกชายชี้คฮาบาซ แข็งแรง เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ เงียบขรึม รัก ศรัทธาในพ่อของตนยิ่ง ยืนยันมุ่งมั่นที่จะดำรงตนตามรอยเท้าของพ่อ ภาคภูมิใจและรักในชาติกำเนิด ภักดีต่อความเป็นคนของทะเลทราย
“เป๊ปปีราโน่” = นายร้อยโทหนุ่มชาวอิตาเลียน มองอนาคต มีเหตุผล ทหารหาญ ให้โอกาส
“สาธุคุณเบอร์นาร์ด โฮล์ม” = บาทหลวงผู้มีเมตตาธรรมให้กับผู้คนทุกเชื้อชาติและศาสนา
“กษัตริย์ฟาฮัด” = สุขุม ฟังมากกว่าพูด มองการณ์ไกล รักประเทศและประชาชนของพระองค์
“เจ้าชายไฟซาล” = น้องต่างมารดาของกษัตริย์ฟาฮัด มีความทะเยอทะยานสูง เอาแต่ใจตนเอง เห็นแก่ตัว วัตถุนิยม ชอบการใช้อำนาจ นักเรียนอังกฤษที่น้อมรับวัฒนธรรมอังกฤษอย่างเต็มตัว
เรื่องย่อ
ไบเดอร์ฮาบัดมีเมืองหลวงชื่อฟาร์วาห์ เมืองท่าชื่อเทห์รานี ตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของอิตาลีโดยมีข้าหลวงใหญ่อิตาลีประจำนครฟาร์วาห์เป็นผู้ควบคุม ดูแล เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง อังกฤษได้ยกพลขึ้นบกที่อเล็กซานเดรีย ทำให้ข้าหลวงใหญ่วิตกกังวลได้ส่งหมวดหนุ่มเป๊ปปีราโน่ไปเกลี้ยกล่อมชี้คฮาบาซผู้นำเบดูอินทำสงครามกับอังกฤษแทนอิตาลี ขณะเดียวกันก็จะเป็นหนทางกำจัดชี้คฮาบาซที่เริ่มรวบรวมชาวเบดูอินได้อย่างเข้มแข็ง เป็นปึกแผ่น แต่ชี้คฮาบาซไม่ยินยอมที่จะทำสงครามเพื่อใคร เห็นว่าไม่มีความชอบธรรมที่ประเทศไหนจะมาครอบครองดินแดนไบเดอร์ฮาบัดรวมถึงทะเลทรายอันเป็นถิ่นที่อยู่ของเบดูอิน สุดท้ายอาหรับผู้นำทางร้อยโทเป๊ปปีราโน่ได้ฆ่าชี้คฮาบาซตาย และจะฆ่าดาวีชด้วยแต่ร้อยโทเป๊ปปีราโน่ได้เอาปืนจ่อหัวห้ามไว้เสียก่อน สุดท้ายหน่วยเจรจาถูกดาวีชตามไปฆ่าตายทุกคนยกเว้นร้อยโทเป๊ปปีราโน่ที่ดาวีชไว้ชีวิต
ดาวีชวัยสิบสี่ปีไม่ย่อมอยู่ใต้ผู้นำคนใหม่ที่จะได้รับเลือกมาแทนพ่อของตนจึงได้ออกเดินทางพร้อมกับตาโดยสัญญากับตนเองว่าจะกลับมาสืบทอดตำแหน่งผู้นำแทนพ่อในอนาคต ตาและดาวีชได้มาอาศัยอยู่ร่วมกับราชาแห่งฝูงปีศาจทะเลทรายเป็นเวลาสี่ปี ณ ที่แห่งนี้ทำให้เขาได้เรียนรู้ธรรมเนียมของโจรทะเลทราย
ร้อยโทเป๊ปปีราโน่ได้รับมอบหมายให้ปราบโจรทะเลทราย ได้ทำการทลายกลุ่มของราชาแห่งฝูงปีศาจทะเลทราย ในครั้งนี้ดาวีชได้รับการไว้ชีวิตจากร้อยโทเป๊ปปีราโน่เป็นการชดใช้ที่ดาวิชเคยไว้ชีวิตหมวดหนุ่ม เขาได้ปล่อยให้ดาวิชเป็นอิสระจากการจองจำพร้อมทำลายหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และได้เตือนดาวิชว่า “โลกของเบดูอินในวันข้างหน้าจะต้องเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็นมา ทะเลทรายจะไม่ใช้แหล่งอันเร้นลับที่ไม่มีใครกล้าเหยียบย่างเข้าไปอีกต่อไป ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในทะเลทรายจะต้องเปลี่ยนไป ไม่มีกองคาราวาน ไม่มีกองโจร ไม่มีการยกกำลังเข้าฆ่าฟันเพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ต่อไป โลกของคนหนุ่มในวันข้างหน้าจะอยู่ในตัวเมือง จงอย่ากลับไปใช้ชีวิตที่โง่งมในทะเลทรายอย่างที่ผ่านมา แต่จงอยู่ที่เทห์รานีหรือฟาร์วาห์และเมื่ออังกฤษเข้ามา เจ้าจงตั้งใจศึกษาวิทยาการใหม่ ๆ จากพวกอังกฤษให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเจ้าจะได้เป็นผู้นำของพวกพ้องเจ้าในอนาคต”
สาธุคุณเบอร์นาร์ด โฮล์ม ผู้มีเมตตาธรรมได้ฝากดาวิชในวัยสิบแปดปีให้เข้ารับการอบรมนักเรียนนายสิบพื้นเมืองหลักสูตรเร่งรัดด้วยเหตุผลที่ดาวิชผู้ดื้อรั้นยอมรับ ตลอดการฝึกดาวิชได้คะแนนเป็นที่หนึ่งและเป็นที่ประทับใจกษัตริย์ฟาฮัดในความที่เป็นคนตรง แข็งแรง กล้าหาญ จงรักภักดีต่อแผ่นดินเกิด เมื่อเรียนจบโรงเรียนนายสิบได้โปรดให้ไปเป็นทหารส่วนพระองค์ พระองค์ทรงขอร้องให้ดาวิชไปเรียนยังโรงเรียนนายร้อยเบงกาซีเป็นเวลาสี่ปีเพื่อนำความรู้มากอบกู้ไบเดอร์ฮาบัด
จากนายร้อยโทได้รับแต่งตั้งเป็นนายพันเอก เป็นผู้การเพื่อคุมกำลังพล ปฏิบัติการด้วยการยึดผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นหลัก เป็นที่เกลียดชังของเจ้าชายไฟซาล รวมถึงผู้สูญเสียผลประโยชน์จนถูกรอบฆ่า ที่สุดได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
สุดท้าย...เขาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยวางคนและรากฐานของประเทศเอาไว้ ละทิ้งความสะดวกสบายทุกอย่างในเมืองสวมเครื่องแต่งกายแบบเบดูอินนั่งบนหลังอูฐพร้อมหญิงคนรักด้วยท่าทางสงบ เยือกเย็น มุ่งคืนสู่เบดูอิน ห่างออกไปจนกระทั่งเป็นเพียงจุดเล็กๆ ในท้องทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล.......
“ชีวิตคนเรา มันก็เหมือนทรายเม็ดเล็กๆ ในทะเลทราย สุดแต่ลมจะหอบไปทางใด และท้ายที่สุดแล้วก็ต้องตกร่วงลงจมสู่พื้นทรายด้วยกันทุกคน”
“เราทุกคนล้วนถือกำเนิดมาจากดินจากทราย แต่คนบางคนเป็นเพียงเม็ดทรายในทะเลทราย ในขณะที่คนบางคนเป็นทรายที่หล่อหลอมให้เป็นเครื่องแก้วเจียระไน”
“ประโยชน์อย่างยิ่งของมันก็คือ เมื่อคนรู้คุณค่าและที่มาของแก้วเจียระไนอย่างถ่องแท้ เขาก็จะรู้จักและรักทรายเม็ดอื่นในทะเลทราย ”
“ผมจะยอมเป็นทรายที่ถูกหลอม เพื่อให้คนรู้จักรักทรายเม็ดอื่นในทะเลทราย”
“ถ้าเจ้าปรารถนาที่จะเป็นผู้นำในวันข้างหน้าอย่างที่ลั่นวาจาไว้ต่อหน้าหลุมศพชี้คฮาบาซ ก็อย่าได้เอาตัวเองไปติดกับเผ่า แต่จงเอาเผ่ามาไว้กับตัวเจ้า”
“คนเราทุกคนมีสัญชาติญาณของความเป็นโจรด้วยกันทั้งนั้น แต่มีเพียงไม่กี่คนที่มีวิญญาณแห่งความเป็นลูกผู้ชายอยู่ในตัว”
“เจ้าจงจำไว้อย่างหนึ่งลูกชายชี้คฮาบาซ เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเติบใหญ่เสมอท้องฟ้า เสมอทะเลทราย เมื่อนั้นเจ้าไม่มีสิทธิปฏิเสธคนที่จะเข้ามาใต้ร่มเงาของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะต้องการคนคนนั้นหรือไม่ก็ตาม”
“เมื่อข้าอายุเท่าเจ้า ข้าเคยฝันที่จะไปให้ทั่วทะเลทรายเหมือนกระแสลม ข้าฝันที่จะสยบทุกชีวิตในทะเลทรายไว้ใต้คมดาบของข้า แต่เมื่อถึงวันนี้ ข้าก็ตระหนักว่าทะเลทรายยิ่งใหญ่กว่าที่ข้าเคยคิด ยิ่งข้าไปไกลเท่าไหร่ข้าก็ยิ่งรู้ว่ายังมีข้างหน้ากว้างไกลออกไปอีกมากขณะที่เวลาในชีวิตของข้าลดน้อยถอยลงทุกวัน”
“มีอูฐตัวไหนไม่รู้แหล่งน้ำในทะเลทราย”
“การเคารพกติกา การทำงานเป็นทีมและการรู้แพ้รู้ชนะ เป็นพื้นฐานที่ดีของสังคม ทุกวันนี้เรามัวไปมุ่งกันที่ผลการแข่งขันมากกว่าตัวคนเล่น ชัยชนะเป็นสิ่งที่เปราะบางและไม่มีใครจะดำรงความเป็นผู้ชนะไว้ได้ตลอดกาล ถ้าเราไม่สร้างคนให้เป็นนักกีฬาอย่างแท้จริง เราก็จะไม่มีวันรู้จักกับชัยชนะที่ได้มานั้นด้วยซ้ำ”
“แท้ที่จริงในโลกใบเดียวกันนี้ คนเราต่างก็มีโลกส่วนตัวที่แตกต่างกันออกไป”
“ฉันกับพวกนั้นเป็นเพียงฝนที่ตกลงมาแล้วก็หายไปกับทะเลทรายอย่างไร้ประโยชน์”
“สักวันเธอก็จะต้องตื่นขึ้น ไม่มีใครหรอกที่จะตกอยู่ในความฝันตลอดไป ขอเพียงแต่เธอกล้าที่จะลืมตาขึ้นพบกับความเป็นจริงเท่านั้น”
“ลมทะเลทรายไม่เคยหวนกลับมาเป็นครั้งที่สอง” “เป็นหนึ่งในกระท่อม ดีกว่าเป็นสองในกรุงโรม”
“แต่ตลอดชีวิตอันยาวนานของข้าไม่เคยมีสักวันที่ทะเลทรายจะปราศจากลมพายุร้าย”
“คนเรายิ่งนอนในที่นอนอบอุ่นก็ยิ่งไม่กล้าลุกขึ้นไปเผชิญกับอากาศหนาวเย็นภายนอก”
“ความเจริญที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากวัตถุภายนอก แต่จะต้องเกิดจากจิตใจและมีการพัฒนาเป็นขั้นเป็นตอน การเนรมิตเอาแต่เปลือกนอกมันก็ไม่ต่างอะไรจากเอาลิงชิมแปนซีมาแต่งตัวและหัดให้แสดงท่าทางต่าง ๆ เลียนแบบคน ถึงจะทำได้ดีวิเศษเพียงใดลิงก็คงไม่มีวันจะกลายเป็นคนจริงๆ ขึ้นมาได้”
“เราล้วนเป็นเหยื่อของคนอื่นด้วยกันทั้งสิ้น แต่เราจะโง่ยิ่งกว่านั้นหากทำตัวเป็นปลาที่ฉลาดจนไม่ยอมกินเบ็ดใดเสียเลย”
“ลูกก็รู้ใช่ไหมว่า หลายต่อหลายคนได้ทุ่มเทเรี่ยวแรงลงไปมากมายเพียงไรกว่าจะได้เครื่องแก้วอย่างลูกขึ้นมา เครื่องแก้วซึ่งจะทำให้ใครต่อใครตระหนักถึงคุณค่าของทรายเม็ดอื่นในทะเลทราย แต่แล้วจู่ ๆ ลูกก็จะทุบแก้วเจียระไน กลับคืนสู่ความไร้ค่าเช่นกรวดทรายสามัญอีกกระนั้นหรือ”
“คนเราต่างมีหน้าที่ความรับผิดชอบบางครั้งมันอาจจะสวนทางกับหน้าที่และความรับผิดชอบของคนอื่น”
“ฉันเหมือนคนวิ่งมาไกลมากจากจุดเริ่มต้นและที่น่าเศร้ากว่านั้นก็ คือ ไม่เคยรู้ว่าจุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหน” “ดวงดาวที่ระยิบระยับอยู่เต็มฟ้าเหมือนจะอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือถึง เมื่อมองลงไปจากเนินก็เหมือนกับผมเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหมู่บ้านและท้องทุ่งเบื้องล่าง หลายครั้งที่ผมไขว่คว้าจนสุดมือแต่ก็ไม่เคยที่จะหยิบฉวยดาวดวงใดได้ และเมื่อผมกลับลงมาจากเนินก็พบว่าที่แท้แล้วเราเป็นเพียงเด็กเล็กๆ คนหนึ่งในหมู่บ้านและท้องทุ่ง”
“แต่ข้าอยากจะเตือนเจ้าว่าการพยายามเปลี่ยนภาพพจน์ของเจ้าต้องเริ่มจากภายในจิตใจของเจ้าก่อนมิใช่มุ่งแต่จะเปลี่ยนแปลงแค่ปัจจัยภายนอก”
“ถ้าอัลเลาะห์ประสงค์จะให้ผมเป็นคนอังกฤษก็คงจะให้ผมได้เกิดในประเทศอังกฤษ แต่เมื่ออัลเลาะห์ให้ผมเกิดมาในดินแดนไบเดอร์ฮาบัด ผมก็ต้องเป็นชาวไบเดอร์ฮาบัดและจะไม่มีวันละทิ้งแผ่นดินนี้ไปอยู่ที่อื่น”
“บางทีเจ้าอาจจะอยู่ห่างไกลต้นหมากรากไม้จนไม่รู้จักปรัชญาของคนเลี้ยงต้นไม้ซึ่งมิได้มีอะไรที่ล้ำลึกมากไปกว่าพลั่วกับกรรไกร... เจ้าจะสามารถดูแลสวนดอกไม้ให้งดงามได้ก็เมื่อรู้จักใช้พลั่วพรวนดินทำนุบำรุงต้นไม้ให้งอกงาม...แต่เมื่อใดที่กิ่งก้านมันรกรุงรังเกะกะหรือมีด้วงมีหนอนชอนไชเจ้าจึงค่อยใช้กรรไกรลิดรอนสิ่งเหล่านั้นทิ้งไป.……ไบเดอร์ฮาบัดยามนี้ก็เหมือนกับฤดูกาลที่จะต้องลงต้นไม้ใหม่เพื่อให้อุทยานเจริญตายิ่งขึ้น แม้ข้าเองจะรู้ว่าควรจะปลูกต้นไม้ใดไว้ตรงไหน แต่ก็คงไม่มีเรี่ยวแรงทำนุบำรุงดูแลไปได้อีกสักกี่น้ำ...เจ้านั่นแหละที่จะเป็นคนใช้พลั่วใช้กรรไกรสืบต่อไปแทนข้า ขอเพียงแต่ให้รู้จักใช้สิ่งของสองสิ่งนั้นให้ถูกต้อง เจ้าก็จะเป็นเจ้าของสวนดอกไม้ที่งดงามร่มรื่นผู้หนึ่ง”
“คนเราทุกคนก็ย่อมมีเวลาที่จะอ่อนแอหรือท้อถอย แต่อย่าปล่อยให้สิ่งเหล่านี้อยู่เหนือความศรัทธาเชื่อมั่นในองค์อัลเลาะห์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งปล่อยให้มันมาทำลายตัวเรา หรือปณิธานอันแรงกล้าในการรับใช้อัลเลาะห์และหมู่ชน...”
“คุณยังคงก้มหน้าก้มตาเลี้ยงแพะที่เน่าเฟะไปทั้งตัวไว้เพราะมันเป็นสมบัติของคุณเท่านั้นหรือ ทำไมคุณไม่กำจัดมันแทนที่จะปล่อยให้แพะทั้งฝูงพลอยติดโรคร้ายไปด้วย”
“ข้าอยากให้ท่านตระหนักว่าข้าไม่มีความทะยานอยากในทางการเมืองหรือคิดที่จะเก็บไบเดอร์ฮาบัดไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ข้าถือว่าหน้าที่ของข้าได้หมดสิ้นลงนับแต่วันที่ดินแดนแห่งนี้ได้รับการคืนเอกราชจากอังกฤษเปรียบเหมือนผู้ที่มีฐานะเพียงแค่ขุดหลุมฝังเมล็ดพืช ต่อจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของทุกคนในชาติที่จะต้องช่วยกันประคบประหงมรดน้ำพรวนดินต่อไป”
“ชี้ค” เป็นประดิษฐ์กรรมของสังคมที่ถือได้ว่าเป็นวรรณกรรมคำสอน เพราะได้สอดแทรกหลักธรรมคำสอนตามแนวทางของศาสนา ทั้งศาสนาอิสลามและพระพุทธศาสนา ตลอดจนชี้ให้เห็นถึงกระแสความเปลี่ยนแปลงที่จักส่งผลต่อวิถีชีวิต ต่อสังคม ต่อประเทศชาติ ที่ต้องพึงตระหนักถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมเรียนรู้ ปรับปรุง บูรณาการ ให้รู้เท่าทัน นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และดำรงตนอยู่ในสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีความสุข
“ชี้ค” สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดทางการเมืองและสังคมที่ทรงคุณค่าต่อการใส่ใจ และสามารถทำให้ผู้อ่านได้อรรถรสแห่งสำนวนภาษา การเปรียบเทียบ ให้ข้อคิดอย่างแหลมคม ไม่ควรที่จะอ่านแล้วผ่านเลยไป ควรถ่ายทอดให้คนรอบข้างตระหนักถึงคุณค่า ความสำคัญ เนื่องด้วยว่า “...เราทุกคนล้วนถือกำเนิดมาจากดินจากทราย แต่คนบางคนเป็นเพียงเม็ดทรายในทะเลทรายในขณะที่คนบางคนเป็นทรายที่หล่อหลอมให้เป็นเครื่องแก้วเจียระไน...”
ย่องมาดูเบดูอินในเรื่อง ชิ๊ค ของนักเขียนที่ชอบครับ
เชิญแวะชมกันฉันท์พี่น้อง