นึกย้อนไปเมื่อหลายเดือนก่อน ผมให้นักศึกษาจีนไปตามสัมภาษณ์เพื่อนชาวไทยแล้วนำข้อมูลที่ได้ออกมาพูดหน้าชั้น...ผลจากการสั่งงาน นักศึกษาของผมคนหนึ่งได้พาเพื่อนชาวไทยให้มารู้จัก... เด็กไทยคนนี้ชื่อ "บูชา" และแม้ว่าชื่อของเขาจะบ่งบอกถึงความเป็นไทย(จ๋า)ขนาดนี้ แต่ครั้งแรกที่เจอกันนั้นผมกลับคิดว่าเขาเป็นนักศึกษาเกาหลี...เพราะทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ไหนจะเฮดโฟนอันใหญ่ที่คล้องคอมาด้วยอีกเล่า...ไม่น่าจะเป็นคนไทยไปได้ (ผมคงเลยวัยไปมากแล้วน่ะครับ ยอมรับว่าตามแฟชั่นเด็กๆสมัยนี้ไม่ทันจริงๆ... ฮ่าๆ) และหลังจากที่ได้คุยกันก็ทำให้รู้ว่า เขาเป็นชาวลำพูนได้รับทุนจาก สพฐ. มาเรียนหลักสูตรการสอนภาษาจีนที่ม.ยูนนานนอร์มอล เป็นเวลา 2 ภาคการศึกษา(เท่ากับที่ผมมาสอนพอดี) หลังจากนั้นก็จะกลับไปบรรจุเป็นครูเพื่อสอนภาษาจีนตามโรงเรียนต่างๆในสังกัดของสพฐ.
บูชา เป็นเด็กที่มีน้ำใจ(มากๆ)และปรับตัวให้เข้ากับคนหรือสิ่งแวดล้อมใหม่ๆได้ง่าย ผมจึงไม่แปลกใจที่เขาค่อนข้างเป็นที่รู้จักของนักศึกษาจีนและลามเรื่อยไปถึงพ่อค้า-แม่ค้า(ทั้งใน ม.-นอก ม.หรือกระทั่งในตลาดก็ยังรู้จัก) เรียกได้ว่าหากเดินไปไหนกับ"บูชา"จะมีคนทักหรือส่งยิ้มให้อย่างแน่นอน และหลังจากที่ผมได้รู้จักกับเด็กทุนคนนี้ได้ไม่นานผมก็ได้รู้จักเด็กทุนสพฐ.อีกหลายคน แต่ในจำนวนนั้นก็มีเพียง 4 คน ที่ผมสนิทมากกว่าคนอื่นๆ นั่นคือ "ฝน" (สาวลำปาง..."chef" มือ 1 แห่งห้องครัวคุนหมิง อยากกินอะไรฝนจัดให้ได้หมด), "อาร์ม" (สาวอุตรดิตถ์ที่หน้าตาละม้ายกับชาวตะวันตกมากจนใครๆต่างคิดว่าเธอเป็นลูกครึ่ง) "ดี๋" (สาวลำปางอีกคนที่มักทำให้หัวใจของหนุ่มจีนวุ่นวาย...โดยไม่รู้ตัว) และคนสุดท้ายคือ "มิ้น" (สาวเชียงใหม่ที่แม้จะเป็นรุ่นพี่ร่วมสถาบันของนายบูถึงสามปีแต่ก็ดูเด็กกว่ามากๆ) ...ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะน้องๆกลุ่มนี้แวะมาทำกับข้าวที่ห้องผมบ่อยๆ แต่สาเหตุหลักผมว่าน่าจะมาจากลักษณะนิสัยและความมีน้ำใจที่น้องๆคอยช่วยเหลือผมมากกว่า...
เล่าถึงตรงนี้แล้วจะไม่กล่าวถึงคนอื่นๆที่เวียนเข้ามาในห้องครัวของผม ก็ดูจะลำเอียงไปหน่อย มาเริ่มกันที่ขาประจำที่มักมาทำ"สุกี้"กินด้วยกันครับ กลุ่มนี้มีนายบูชา ตาเล้ง(หนุ่มกรุงเทพฯ) แล้วก็น้องฝ้าย (สาวนครสวรรค์) ทั้งสามเพิ่งสลายกลุ่มไปพร้อมกับการปิดเทอมในภาคเรียนที่ 1 ที่ผ่านมา เพราะน้องฝ้ายต้องกลับไปฝึกสอนที่ไทยครับ (แต่มิตรภาพทั้งหมดที่ผมได้รับนั้นยังอยู่ในใจเสมอ) กลุ่มต่อมาคือ กลุ่มขาจร (เด็กจีนที่ผมสอนนั่นเอง) กลุ่มนี้จะคอยถามว่าผมว่างไหม พวกเขาอยากให้ผมทำอาหารไทยให้ชิม ผมเองก็ไม่ได้ทำอาหารเก่งหรอกครับ อาหารที่ทำให้เด็กๆรับประทานจึงไม่พ้น ไข่เจียว ไข่ดาว ดีขึ้นมาหน่อยก็คือ ต้มยำไก่ (ฮ่าๆ) กลุ่มขาจรนี้ผมต้องระบุลิมิต(ไม่เกิน 5 คน)ให้เขารู้ก่อนที่จะอนุญาตให้มาที่ห้องได้ครับ เหตุเพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งเขาจะมากันหมดยกห้อง (35 คน) โชคดีที่ผมโทรฯไปถามก่อน ไม่อย่างนั้นต้องยืนขี่คอกินข้าวกันแน่แท้...และกลุ่มล่าสุดคือ น้องๆกลุ่มเด็กทุนลุ่มน้ำโขงฯหรือทุน GMS ที่มาพร้อมกับบั้ดดี้ชาวจีน (ธนกฤตกับเมธัส) กลุ่มนี้มีเด็กไทย 2 คน คือ ปอนด์(สาวลพบุรี) และเพลิน (สาวละปูน) ผมรู้จักทั้งคู่เพราะ"เหตุการณ์เด็กไทยแอบเข้าชั้นเรียน"ของผมครับ
จำได้ว่า มีอยู่วันหนึ่งหลังจากเปิดเรียนเทอมที่ 2 ไปได้สองสัปดาห์ จู่ๆห้องเรียนที่ผมสอนก็มีคนมานั่งเรียนเยอะมาก พอเช็กชื่อเสร็จถึงได้รู้ว่ามีคนไทยมาอยู่ในห้องถึง 8 คนด้วยกัน (เด็กทุนขงจื่อ 5 คน เด็กทุนGMS 3 คน) เด็กๆบอกผมว่า อยากเรียนรู้วิธีการสอนภาษาไทยให้กับคนจีน บางคนก็ว่าเรียนคณะมนุษย์ฯ ไม่ได้เรียนสายการสอนจึงอยากมาขอความรู้จากผม ฯลฯ ผมเห็นว่าพวกเขาตั้งใจกันขนาดนี้ (ก็บางคนถึงขั้นอำผมว่าเป็นคนจีน ให้เด็กจีนในห้องช่วยโกหกว่าเขาเพิ่งมาใหม่ ไม่พูดภาษาไทยเลยสักคำ เพราะกลัวว่าผมจะไม่ให้เข้าเรียนด้วย...บ้ามากๆครับน้อง) ก็เลยอนุญาตให้มาเรียนด้วยได้ครับ
และเด็กๆกลุ่มสุดท้ายที่ผมจะลืมไม่ได้เลยก็คือ กลุ่มเด็กทุน พก. (ไม่ขอแปลนะครับ...ฮ่าๆ) กลุ่มนี้นอกจากสุกี้และกับข้าวไทยๆที่เราทำกินกันเป็นประจำแล้ว ยังมีของหวานอย่างแกงบวดฟักทองและกล้วยบวดชีอีกด้วย น้องๆมีอยู่ด้วยกัน 4 คนครับ คือ น้องซี(สาวกรุงเทพฯ) ตาหมง(หนุ่มโคราชฯ) ตาเล้ง และน้องฝ้าย แม้ในเทอมที่สองนี้ผมจะไม่ค่อยได้เจอเด็กๆทั้งสี่คนอย่างพร้อมหน้า แต่เราก็ยังติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์และเอ็มเอสเอ็นอยู่บ้าง (มีเพียงน้องหมงที่ผมได้เจอบ่อยที่สุดเพราะเราไปตีแบดฯด้วยกันทุกอาทิตย์) แต่เหตุที่นำพาให้พวกเราได้รู้จักกันนั้น เกิดขึ้นจากอาจารย์มิซซูโนะ เพื่อนชาวญี่ปุ่นผู้นำพาให้หลายชีวิตได้มาบรรจบกันครับ
เรื่องราวเริ่มจากที่ผมได้พบกับอ.มิซซูโนะในงานเลี้ยงวันชาติจีน เราคุยกันหลายเรื่องครับ และในนั้นคือเรื่องที่ผมเป็นอาจารย์ภาษาไทยเพียงคนเดียว และที่สำคัญคือพูดภาษาจีนก็ไม่ได้แถมภาษาอังกฤษก็ยังไม่แข็งแรง...อาจารย์เขาคงเห็นใจผมน่ะครับ(เดาจากภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นที่มักลงท้ายด้วยคำว่า..ฮือ(หึ)..และอาการตาโตทุกครั้งที่ทราบว่าผมยังไม่รู้จักนั่น-นี่-โน่นที่ควรจะได้รู้จัก...ฮ่าๆ) ท่านก็เลยชวนผมให้ไปเล่นแบดมินตันด้วยกันในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์...อ.มิซซูโนะบอกผมว่า ในกลุ่มที่เล่นแบดฯนั้นมีเด็กไทยอยู่ด้วย จึงอยากจะแนะนำให้ผมได้รู้จักไว้ เผื่อมีปัญหาอะไรจะได้มีคนคอยช่วยเหลือ...และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้สนิทกับเด็กๆทั้ง 4 คน
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ มีเด็กๆทั้งชาวไทยและชาวจีนแวะเวียนเปลี่ยนผ่านเข้ามาให้ผมได้"เรียนรู้"ผ่านการทำอาหาร ณ ห้องครัวคุนหมิงมากมาย กล่าวเฉพาะเด็กไทยนั้น นับเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่มักมีจุดเริ่มต้นจากการแนะนำของคนต่างชาติ แต่ด้วยเพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน ความสัมพันธ์จึงดำเนินต่อไปได้อย่างไม่ยากนัก ยิ่งมาอยู่ต่างบ้านแบบนี้แล้ว อาการโหยหา"รสชาติความเป็นไทย: น้ำพริก กะปิ น้ำปลา" ย่อมเกิดขึ้นกับทุกคนอย่างเลี่ยงไม่ได้... ผมเองต่อให้นึกย้อนสักกี่ครั้งก็ยังรู้สึกว่า "โชคดีเหลือเกินที่พูดภาษาจีนไม่ได้" เพราะไม่เช่นนั้นแล้วผมคงไม่ได้พบกับเด็กๆเหล่านี้... คงไม่ได้กินอาหารไทยหลากหลายเมนูที่ใครรู้คงไม่เชื่อว่าเราอยู่ที่คุนหมิง... คงไม่ได้รับการ "ช่วยเหลือ-ดูแล-ห่วงใย" อย่างที่คนมาอยู่ต่างเมืองจะได้รับ...
ณ เวลานี้ ผมไม่รู้ว่าพวกเด็กๆกำลังทำอะไร หลายคนกลับประเทศไทยไปแล้ว และอีกหลายคนอยู่ต่อที่คุนหมิง...ผมไม่รู้ว่าพวกเขาจะยังจดจำเหตุการณ์ต่างๆ หรือนึกถึงอาหารไทยเครื่องไม่ครบอย่างที่เราได้ทำรับประทานกันในห้องครัวคุณหมิงหรือไม่...ตอนนี้ผมรู้เพียงว่า เมื่อเข้าครัวทีไร ก็ให้รู้สึกคิดถึงพวกเขาเหลือเกิน...
พบเพื่อพราก...จากเพื่อเจอ
Kunming 11-06-25
ปล. บันทึกนี้เขียนไว้เพื่อ"ระลึก"ถึงทุกคน...และเพื่อ"ขอบคุณ"สำหรับทุกอย่าง
สวัสดีค่ะอาจารย์หนานฯ
กิจกรรมส่งเสริมเอกลักษณ์ไทย ว้าว มีแต่เมนูของโปรด ทั้งนั้น หิวเลย
เดี๋ยวจะไปจกข้าวนึง กะน้ำพริกอ่อง ดีกว่า อิ่ม ๆ ลำๆ นะคะ ขอบคุณค่ะ :)
ผมกะลังจะไปกิ๋นข้าว เหมือนกั๋นครับผม...เสียดายว่าข้าวนึ่งยามแม่ตอนนี้ หายากครับ อย่างใดกะฝากจกตวยคนเน้อครับ
สวัสดีค่ะ
คนไทยไม่ว่าอยู่ที่ไหน สายตาก็จะสอดส่ายหากันอยู่เสมอและมีพลังดึงดูดที่
จะดูดให้มารวมกลุ่มกันด้วยความอบอุ่นใจ อาจจะเป็นเพราะคิดถึงบ้านแ้ล้ว
เมื่อมาเจอกันก็ช่วยให้พอคลายความคิดถึงบ้านลงได้นะคะ
ยิ่งได้ทานอาหารที่คุ้นลิ้นคุ้นปากมาก่อน....อบอุ่นใจจริงๆเลยค่ะ
ใช่แล้วครับท่านอ.ชุติมา เด็กๆพอรู้ว่าผมอยู่ห้องพักข้างนอก จะถามผมก่อนเลยว่า...มีห้องครัวไหม... หลังจากนั้นก็ตามด้วย อาจารย์เอาน้ำปลามาด้วยไหมคะ (ฮ่าๆ)
สวัสดีค่ะ
เป็นเวลาว่าง ๆ และเต็มใจที่จะเข้ามาหน้าจอจริง ๆค่ะ บางเวลาเข้ามางั้นๆ รีบเข้ามาหน้าบล็อกของอาจารย์ก่อนอื่น
อ่านแล้วชอบคำโปรยมากค่ะ เสียงมีดกระทบเขียง เสียงพูดคุยและการหยอกเอิน ยังคงดังลั่นห้องครัวของผมไม่เปลี่ยนแปลง
นึกถึงความเป็นวัฒนธรรมไทยแบบพื้นบ้น เวลามีงานหรือกิจกรรมกันนะคะ ทุกคนจะถือมีดถือเขียงมาช่วยงานกัน แต่ปัจจุบันเปลี่ยนไปแบบ "เหมาจ่าย" ไปมากแล้วค่ะ
เด็กสมัยนี้โชคดีนะคะ ในด้านการได้รับสนับสนุนดูแลจากรัฐบาล สมัยพี่คิมการเตรียมตัวสอบ AFS ต้องเตรียมกันตั้งแต่ มศ.๑ ท่องเอง อ่านเอง โรงเรียนปิดพ่อแม่พาไปทดสอบกับสถาบันที่ กทม.
ขอเป็นกำลังใจและชื่นชมยินดีอาจารย์และเด็ก ๆ เยาวชนคนดี คนเก่งค่ะ ประเทศชาติรอความฝันของพวกเขาอยู่นะคะ
ขออภัยค่ะตกหล่นวัฒนธรรมไทยแบบพื้นบ้น=วัฒนธรรมไทยพื้นบ้าน
สวัสดีครับครูคิม
ผมเห็นด้วยครับว่าเด็กๆสมัยนี้โชคดีกว่าตอนที่พวกเราเรียนอยู่เยอะเลย โดยเฉพาะทุนที่ให้มาเรียนต่างประเทศ...ตอนนี้มีอยู่หลาย
หน่วยงานที่ให้ทุนในลักษณะนี้ครับผม
ปล. คุณครูพี่คิมเคร่งครัดภาษาจนผมอายไปเลยครับ เพราะมีหลายบันทึกที่ผมรีบเขียนรีบโพส...มาดูอีกทีก็เจอคำผิดเยอะเลยครับ
ตามกลิ่นอาหารมาค่ะ
ขอบคุณพี่มนัญญาที่เข้ามาทักทายครับผม... ชอบเมนูไหน ก็ลิ้มลองกันได้ตามอัธยาศัยครับ แต่นี่อาจจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารบันทึกสุดท้ายแล้วนะครับ เพราะรู้สึกว่าเขียนเรื่องแนวนี้ทีไร...น้ำหนักผมขึ้นทุกที...ฮ่าๆ
ผมขอ ปล. ด้วยคนนะครับ
ปล. ขอร่วมแสดงความเห็นในหน้านี้
ไว้เพื่อ"ระลึก" ถึง อาจารย์หนานวัฒน์...และเพื่อ"ขอบคุณ"
สำหรับทุกอย่าง...
เป็นบันทึก ที่ได้ยินทั้งเสียง...
ได้เห็นด้วยภาพ
ได้สัมผัสด้วยใจครับ
ดีใจที่ได้เข้ามาอ่านนะครับ
สวัสดีครับ คุณหมออดิเรก
ขอบคุณครับผมที่คอยติดตามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเสมอมา ไว้ผมจะตามไปเยี่ยมบันทึกจาก"บุรีรัมย์"ที่บล็อกคุณหมอนะครับ
สวัสดีค่ะ
ดีใจด้วยนะคะที่ไปไหนคนไทยเรายังรักกัน อาหารไทยเราอร่อยที่สุดในโลก...
คนที่ปรับตัวเก่งๆ ไปไหนก็ไม่ลำบากใจ...ดีใจแทนน้องบูชานะคะที่ทำตัวได้กลมกลืน
และดีใจกับคนที่ได้ทุนมาเรียน...
สายัณสวัสดิ์ครับพี่แดง
เรื่องอาหารนี่ต้องยอมรับครับว่าอาหารบ้านเราถูกปากที่สุด(ในโลก)แล้ว...อาหารคุนหมิงแม้จะมีรสเผ็ดพอสูสีกับบ้านเรา แต่เรื่องความมันผมขอยอมแพ้จริงๆครับ (อาจเพราะที่นี่อากาศเย็น เขาเลยเน้นมันๆไว้ก่อน)...ส่วนน้องๆที่ผมรู้จักนี้ ผมเองก็มั่นใจและดีใจนะครับที่เขาได้ทุนมาเรียนเพราะหลายคนมีความเป็นครูอยู่ในตัวอย่างเพียบพร้อมทีเดียวครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์
สวัสดีครับท่านอ.พิชชา
ยินดีมากครับที่แวะมาเยือน อีกอาทิตย์เดียวผมก็จะได้กลับลำปางเสียที...หวังว่าคงจะได้พบกันนะครับ
สวัสดีค่ะ
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ วันนี้ฝนตกแทบทุกภาคทั่วประเทศไทยค่ะ ข่าวบอกอย่างนั้นนะคะ ที่พิษณุโลกอากาศเย็นสบายมากค่ะ
คนไทยอยู่ที่ไหนก็รักกันได้นะครับ ขอให้มีความสุขกับการทำงานครับ...
สวัสดียามบ่ายครับ ครูพี่คิม
ตอนนี้ผมกำลังหารูปพวกอาจารย์กับน้องๆกลุ่มตีแบดด้วยกันครับ คิดว่าจะเขียนให้เสร็จก่อนกลับบ้านครับผม
ปล. ขอบคุณสำหรับการติดตามครับผม
ขอบคุณท่านอาจารย์ขจิตครับ เห็นอาจารย์ไปโน่นนี่ไม่ว่างเว้นเลย รักษาสุขภาพและมีความสุขเช่นกันครับผม
สวัสดีค่ะ อ.ต๋อม
น้องนัทสาวงามแนะนำเวบให้พี่เข้ามาเยี่ยมชม อ่านแล้วก็ให้อมยิ้มกับภาษาน่ารัก ๆ และข้อความที่อุดมไปด้วยอุ่นไอแห่งมิตรภาพ ดีใจที่อยู่ที่ไหน คนไทยก็รักกันเสมอ ^ _ ^
ณ ต่างแดน แสนไกล และไร้ญาติ
คนต่างชาติ เต็มเมือง เรื่องสับสน
พบคนไทย ดีใจ ซะเหลือทน
ไทยทุกคน รักกันไว้..ไม่ทิ้งกัน
กลุ่มนี้คือเด็กไทยที่อยู่ปักกิ่งค่ะ
สวัสดีค่ะ ท่านอาจารย์
ยินดีต้อนรับและขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาเยือนครับผม
รากเหง้า..รากคิด..รากจิตวิญญาณ
คนไทย หัวใจไทย อยู่ใกล้ไกล ก็เป็นไทยเสมอ
ทุกครั้งที่ผมเดินทาง ผมจะต้องแวะกินข้าวเหนียวเสมอ
นั่นคือพลังชีวิตของผม
นั่นคือรากเหง้าของผม ...
ขึ้นเวทีบรรยาย
ผมก็ใส่เสื้อพื้นเมือง
สิ่งเหล่านี้บางคนมองว่า "พื้นถิ่น" เกินไป
ผมไม่โต้แย้งสงบฟัง และยิ้มชื่นชมกับเสื้อผ้าของตัวเองอย่างไม่เขินอาย
...
ชื่นชมและเป็นกำลังใจนะครับ
เพิ่งเคลียร์คะแนนและข้อสอบทั้งหมดเสร็จครับ... ตอนนี้เหลือแค่เก็บกระเป๋า ก็ปิ๊กบ้านเฮาได้แล้ว (ฮ่าๆ)
ปล. รู้สึกจะเอาเรื่องราวหลายเหตุการณ์มาปะปนกันมั่ว...อ่านแล้วถ้า..งง...ก็อย่าได้ถือสาผมเลยครับ อ้อ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบใส่เสื้อเมืองไปสอน-ไปขึ้นเวที เช่นกันครับ
มาอีกรอบ เห็นแล้วอยากกินบ้าง หิวๆๆ
ช่วงนี้งานเข้าเหลือเกินครับท่านอ.ขจิต อยากเขียนแต่กลัวจัดการงานที่นี่ไม่ทัน (บันทึกหนึ่งๆของผมใช้เวลาเกือบครึ่งวัน...เพราะเป็นคนเขียนช้า และต้องอาศัย"การดำดิ่งสู่ห้วงคะนึง"อยู่นาน) ยิ่งเห็นอาจารย์และคุณหมอลงบันทึกใหม่ๆ แบบวันต่อวัน(ผมทึ่งมากครับ)ผมก็อยากทำให้ได้แบบนั้นบ้าง....แต่ของผมคงต้องเป็นแบบ อาทิตย์ละบันทึกแล้วล่ะครับ (ฮ่าๆ)
ปล. ขอบคุณท่านอาจารย์ที่แวะมาเยี่ยมอยู่เสมอครับผม
สวัสดีค่ะอาจารย์
สวัสดียามเช้าครับคุณครู.รัชดาวัลย์
ขอบคุณคุณครูมากครับผมที่แวะมาให้กำลังใจ และเขียนร่องรอยไว้ให้ได้"สุขใจ" ... ข้อความของคุณครู เป็นกำลังใจให้ผมรีบจัดการงานประจำเพื่อจะมาเขียนเล่าได้มากเชียวครับ...ขอบคุณอีกครั้งครับผม
สวัสดีค่ะอาจารย์
คิดถึงครับ
รออ่านบันทึกใหม่อยู่ครับ
งานคงยุ่งนะครับ
และเห็นบอกไว้ว่าเขียนช้า
อย่าช้าไปทุกเรื่องก็แล้วกันนะครับ
หรือกำลังเตรียมตัวครับ
วันนี้...
มาให้กำลังใจอาจารย์
สางงานแล้วกลับมาเขียนต่อนะครับ
พบเพื่อพราก จากเพื่อเจอ ขอให้เป็นเกลอ ร่วมพัฒนา ครับ
ใกล้กลับบ้านเราแล้วนะครับ เย้ๆๆๆ
คาดว่าอาจารย์กับลูกศิษย์อายุคงไม่ห่างกันมากนัก
เด็กสมัยนี้เก่งหลายอย่างนะคะ เรียนเก่งแล้วยังทำอาหารเก่งด้วย
ถ้าอยู่แต่ในบ้านเราคงมีแต่คนทำให้กิน
พอไปอยูต่างแดนแล้วแต่ละคนได้แสดงความสามารถเต็มที่เลย...ได้ประทับใจกับอาหารอร่อยด้วยฝีมือเด็กรุ่นใหม่
ขอแสดงความชื่นชม ทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ค่ะ
- ลูกศิษย์น่ารัก
- อาหารน่าทาน
- ความรู้สึกของ "ความเป็นครู" น่าชื่นชมมากค่ะ