เป็นเรื่องปกติที่ครูมักจะพบว่าในการจัดกิจกรรมแต่ละครั้งที่แม้ว่าจะเตรียมตัวมาดีอย่างไร ก็ยังจะมีเด็กบางคนที่ยังไม่เข้าใจอยู่....
เช้าวันหนึ่งหลังจากที่เข้าแถวเสร็จ ฟลุ๊ค นักเรียนห้อง ๒/๒ เดินเข้ามาหาคุณครูแคท – คัทลียา ที่กำลังยืนอยู่ตรงโถงที่จัดมุมไม้ดอกไม้ประดับไว้ แล้วก็ชี้ไปที่กระถางต้นไม้ที่แขวนอยู่พร้อมทั้งบอกกับครูแคทว่า “นี่ใบเลี้ยงเดี่ยวใช่ไหมครับครูแคท”
ทันทีที่ได้ยินเสียงนี้ครูแคทก็มองตามไปที่ต้นไม้ในกระถาง ครูแคทรู้สึกผิดหวังนิดๆ เพราะเมื่อวานนี้คุณครูเพิ่งให้เด็กๆ ไปเก็บใบไม้มาคนละ ๓ ใบแล้วนำมาถู (rubbing) ให้เกิดลายบนสมุด พร้อมทั้งสังเกตลักษณะของใบไม้แต่ละใบ แล้วนำมาจัดกลุ่มตามความเข้าใจของนักเรียน
ในขณะที่จัดกลุ่มนั้น นักเรียนสามารถจัดจำแนกใบไม้ที่ตัวเองเก็บมาได้ถูกต้องเกือบทุกคน สำหรับบางคนที่ยังสับสน เมื่อครูบอกก็สามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้ และยังสามารถบอกลักษณะพิเศษของใบไม้ทั้งกลุ่มใบเลี้ยงเดี่ยวและใบเลี้ยงคู่ได้อย่างถูกต้องด้วย
เรื่องที่เราเรียนรู้กันคือ พืชใบเลี้ยงคู่จะมีเส้นใบที่เป็นเป็นร่างแห (เด็กๆ จะพูดว่าเส้นใบมันมีขีดๆ พร้อมทั้งทำไม้ทำมือประกอบการตอบให้เห็นภาพชัดเจน) ส่วนพืชใบเลี้ยงเดี่ยวเส้นใบจะขนานกันไป ที่เด็กจะบอกว่ามีเส้นใหญ่ๆ ตรงกลาง ๑ เส้น) ลักษณะต่างๆ ที่เด็กๆ พูดออกมานี้เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นในขณะกำลังที่ถูใบไม้ลงในสมุด และจากการสังเกตใบไม้อย่างละเอียด จากทั้งการสัมผัส การดู การดม รวมถึงการฉีกใบไม้ดูด้วย
สิ่งที่ฟลุ๊คบอกครูแคทในตอนเช้าจึงทำให้ครูสงสัยมากว่า “เกิดอะไรขึ้น ทำไมฟลุ๊คถึงยังสับสนอยู่” พอให้ฟลุ๊คมาสังเกตใบไม้ให้ครูดูอีกทีก็พบว่าฟลุ๊คยังแยกไม่ออกว่าความแตกต่างของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและใบเลี้ยงคู่อยู่ที่ไหน
เมื่อเป็นเช่นนั้นในตอนกลางวันก่อนพักรับประทานอาหาร ครูจึงเข้าไปทบทวนอีกครั้งด้วยการให้เพื่อนๆ ช่วยบอกว่าลักษณะเด่นของใบเลี้ยงเดี่ยวและใบเลี้ยงคู่เป็นอย่างไร แล้วครูก็วาดตามที่เด็กบอกบนกระดาน และใช้สีที่แตกต่างกันเน้นในส่วนที่เด็กๆ บอกอีกด้วย
เมื่อรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ครูจึงเรียกฟลุ๊คมาหาอีกครั้ง แล้วให้ฟลุ๊คไปเก็บใบไม้มา ๒ ใบ เป็นใบเลี้ยงเดี่ยวและใบเลี้ยงคู่อย่างละใบ ฟลุ๊ควิ่งลงไปข้างล่างและวิ่งกลับมาพร้อมใบไม้อย่างรวดเร็ว และเมื่อครูเห็นว่าเก็บมาถูกต้อง จึงถามว่า “รู้ได้อย่างไรว่าใบไหนเป็นใบเลี้ยงเดี่ยว ใบเลี้ยงคู่” ฟลุ๊คชี้ไปที่เส้นใบของใบเลี้ยงเดี่ยว แล้วบอกว่าเส้นนี้ใหญ่ ชัดเจน และไม่มีเส้นขีดไปข้างๆ
จากกรณีของฟลุ๊คเรื่องที่ได้เรียนรู้คือ หลายครั้งที่ครูมักจะคิดว่ากระบวนการของเราดีแล้ว และตรวจสอบความเข้าใจของพวกเขาจากการถามเด็กด้วยคำถามที่ให้ทั้งห้องช่วยกันตอบ เมื่อได้ยินเสียงตอบกลับมาว่าถูกต้องก็เผลอคิดไปว่านั่นคือเสียงของเด็กทั้งหมด
ในการทำกิจกรรมในห้องแม้ว่าฟลุ๊คจะได้สังเกต ได้ถูใบไม้เหมือนเพื่อนทุกประการ แต่สิ่งที่ฟลุ๊คยังไม่ได้คือการสรุปหลักการที่ใช้ในการจำแนกใบไม้ ฟลุ๊คจึงยังตอบผิดบ้างถูกบ้างอยู่ตลอด
กระบวนการเรียนรู้ที่ให้เด็กได้มีโอกาสค้นพบหลักการด้วยตนเอง ก่อนที่ครูจะสรุปให้ฟังอีกครั้ง ทำให้เด็กๆ รู้สึกชอบและรู้ที่จะเรียนรู้ เพราะพวกเขาจะรู้สึกภาคภูมิใจว่าเขาค้นพบความรู้ที่ครูนำไปใช้เป็นสรุปได้ด้วยตัวเอง และพวกเขายังสามารถใช้ชุดความรู้ที่ค้นพบนี้ตอบคำถามของครูได้ครั้งแล้วครั้งเล่า และยิ่งตอบถูกบ่อยครั้งมากขึ้น ก็ยิ่งสร้างความภาคภูมิใจและมั่นใจขึ้นในตัวเองมากขึ้นตามไปด้วย
ความสนุกในการเรียนรู้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในชั้นเรียน หรือในโรงเรียนเท่านั้น คุณแม่ของน้องบุ๋ม ๒/๒ โทรศัพท์มาหาครูแคท แล้วถามว่าคุณครูให้เด็กๆ ทดลองอะไรเหรอคะ น้องบุ๋มอยากทำมากๆ แล้วมาถามแม่ว่า “แม่รู้จักใบเลี้ยงเดี่ยวใบเลี้ยงคู่ไหม?” พร้อมทั้งอธิบายให้แม่ฟัง คุณแม่บอกว่าน้องชอบเรียนวิชาของครูแคทมากๆ ขอบคุณครูแคทมากนะคะ
คุณพ่อน้องกำปั่นห้อง ๒/๒ เขียนมาในจดหมายสื่อสารประจำสัปดาห์ว่า “ช่วงนี้น้องกำปั่นสนใจเรียนเรื่องพืชมากๆ เดินผ่านต้นไม้ก็จะลูบใบไม้ทุกครั้ง แล้วบอกว่าเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวหรือใบเลี้ยงคู่”
การเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ผัสสะต่างๆ เข้ามาช่วยสร้างการเรียนรู้ด้วยวิธีการที่หลากหลาย
ตัวครูเองต้องมีสายตาที่ไวพอที่จะเห็นว่ามีเด็กคนใดบ้างที่ยังจับหลักการไม่ได้ แล้วลองหาวิธีใหม่ๆ ที่จะพาให้เด็กเข้าถึงความรู้นั้นด้วยตนเอง
เป็น AAR ที่สุดยอดครับ
วิจารณ์
ขอบพระคุณมากค่ะอาจารย์
ครูแคท
ขอบคุณค่ะ..เหมือนๆกับที่พี่ใหญ่เรียนรู้จากการปลูกผักในบ้านว่า..ดอกฟักทองดอกนี้ ไม่มีกะเปาะที่โคนดอก..เป็นดอกเพศผู้..หมดหวังเห็นผลฟักทอง..(ไม่ได้รู้เองค่ะ..น้อง ดร.ขจิต เจ้าของเมล็ดพันธุ์ ตั้งข้อสังเกตตอนเก็บภาพไปอวดเธอ)