นอกจากงานวิจัยของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาแล้ว ผู้เขียนยังได้จัดทำโครงการสืบสานวัฒนธรรมภูกามยาว ในปีงบประมาณ ๒๕๔๘ โดยการสนับสนุนงบประมาณจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา ซึ่งได้ให้การอบรมแก่กับเด็กและเยาวชนโดยการจำลองสถานการณ์ให้ฝึกนำเที่ยว ซึ่งพอจะสรุปได้ ดังนี้
การจัดโครงการสืบสานวัฒนธรรมภูกามยาวดังกล่าว ผู้เขียนใช้ชื่องานว่า “การศึกษาแนวทางการส่งเสริมแหล่งการเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นเมืองพะเยา” โดยมีสภาพความเป็นมาของงานว่าเมืองพะเยามีแหล่งการเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สำคัญอย่างมากมาย จนถือว่าวัดศรีโคมคำเป็นเพชรน้ำหนึ่งในแถบถิ่นลุ่มน้ำอิง และผู้คนถือว่าพระเดชพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์เป็นเอกลักษณ์และตำนานแห่งเมืองพะเยาไปด้วย ที่เมื่อพูดถึงเมืองพะเยาย่อมเข้าใจในบทบาทของพระเดชพระคุณท่านในประเด็นดังกล่าวนี้ได้ดี
แต่แหล่งการเรียนรู้เหล่านั้นยังขาดการส่งเสริมในเชิงการพัฒนาการไปสู่เด็กเยาวชนและประชาชนในท้องถิ่นอย่างมาก จนแทบไม่เห็นความสำคัญและมองผ่านแหล่งวัฒนธรรมดังกล่าวเพียงแค่สัญลักษณ์และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น
ผู้เขียนจึงต้องการที่จะให้เกิดภาพการแสวงหาแนวทางในการส่งเสริมแหล่งการเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นดังกล่าวขึ้น จึงได้เข้ามาศึกษาเพื่อนำเสนอต่อไป โดยมีวัตถุประสงค์ ว่า
๑. เพื่อศึกษาแหล่งการเรียนรู้ที่สำคัญอันเป็นวัฒนธรรมของเมืองพะเยาด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น
๒. เพื่อศึกษารูปแบบการนำเสนอของมัคคุเทศก์อาสานำชมแหล่งการเรียนรู้
๓. เพื่อเสนอแนวทางการส่งเสริมแหล่งการเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นเมืองพะเยา
ในครั้งนั้นผู้เขียนได้กำหนดขอบเขตการศึกษาเอาไว้ ดังนี้
๑.ขอบเขตด้านประชากร/กลุ่มตัวอย่างที่ต้องการศึกษา มีสถาบันการศึกษาเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน ๑๐ สถาบัน จำนวน ๑๕๐ คน โดยกลุ่มตัวอย่างทั้ง ๑๕๐ รูป/คนนั้น ผู้เขียนได้มอบหมายให้แต่ละสถาบัน พิจารณาคัดเลือกเด็กและเยาวชน สถาบันละ ๑๕ รูป/คน โดยทางผู้เขียนได้ตั้งเกณฑ์คุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
ก. เป็นผู้สนใจงานวัฒนธรรมท้องถิ่นเมืองพะเยา
ข. สามารถนำเทคนิคการเป็นผู้นำชมไปเผยแผ่ได้
ค. เป็นสมาชิกของชมรมในสถาบัน
ง. มีภาวะผู้นำสูง
๒.ขอบเขตด้านเนื้อหา ผู้เขียนได้กำหนดเนื้อหาที่ต้องการรู้ไว้ ๓ ประการ คือ
ก.ศึกษาประวัติศาสตร์ ตำนาน ภูมิหลังของแหล่งการเรียนรู้นั้น ๆ
ข.ศึกษาถึงเทคนิคการเป็นผู้นำชมแหล่งการเรียนรู้ที่ดี
ค.ศึกษาถึงแนวทางส่งเสริมแหล่งการเรียนรู้
๓. ขอบเขตด้านพื้นที่ (แบบจำลองการศึกษา) มีทั้งหมด ๕ จุด คือ
ก.วัดศรีโคมคำ ๔ จุด
ข.หอวัฒนธรรมนิทัศน์ ๑ จุด
ในการศึกษาครั้งนั้น ผู้เขียนลองให้คำจำกัดความไว้คร่าว ๆ ว่า
คำว่า “แนวทางการส่งเสริม” หมายถึงแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมแหล่งการเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นของเมืองพะเยา
คำว่า “แหล่งการเรียนรู้” หมายถึงแหล่งวัฒนธรรมที่สำคัญของเมืองพะเยา จำนวน ๕ จุดคือ หอวัฒนธรรมนิทัศน์วัดศรีโคมคำ, พระอุโบสถกลางน้ำ, พระเจ้าตนหลวง, พระพุทธรูปหินทราย และสวนศิลป์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผลงานของพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ที่ได้สร้างสรรค์เอาไว้และได้บูรณะเพิ่มเติม
คำว่า “ภูมิปัญญาท้องถิ่น” หมายถึงการตีความหมายปริศนาธรรมที่เป็นเรื่องราว สิ่งของ วัตถุโบราณ ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านได้มีโอกาสเก็บสะสมและสร้างขึ้นไว้ภายในบริเวณหอวัฒนธรรมนิทัศน์และวัดศรีโคมคำ ซึ่งมีการคาดคะเนว่าน่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการศึกษา ๓ ประการคือ
๑.ได้ศึกษาถึงแหล่งการเรียนรู้และวัฒนธรรมที่สำคัญของเมืองพะเยาที่เป็นผลงานการสะสมและบำรุงรักษาของพระอุบาลีคุณูปมาจารย์
๒.ได้เทคนิคการนำเสนอและได้มัคคุเทศก์อาสานำชมแหล่งการเรียนรู้รุ่นใหม่สู่สังคม
๓.ได้แนวทางการส่งเสริมแหล่งการเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นเมืองพะเยาว่าจะก้าวเดินต่อไปอย่างไรในอนาคต
เมื่อจะเข้าไปศึกษาค้นคว้านั้น ผู้เขียนได้ทำการศึกษาและวิเคราะห์เนื้อหาสาระแล้วสรุปประเด็นรวมกันทั้งหมด ๕ จุด ซึ่งประกอบไปด้วย
จุดที่หนึ่ง เป็นการเปิดโลกทัศน์เมืองพะเยา โดยอาศัยหอวัฒนธรรมนิทัศน์ เป็นฐานการศึกษา โดยผู้เขียนได้เน้นถึงแนวคิดการจัดตั้ง-ความเป็นมา-พัฒนาการของหอวัฒนธรรมนิทัศน์วัดศรีโคมคำ ทั้งนี้ต้องไม่ทิ้งเนื้อหาของการจัดการแสดงในส่วนต่าง ๆ ตามห้องที่จัดแสดงเอาไว้
จุดที่สอง วัฒนธรรมร่วมสมัยแห่งภูกามยาว ในการศึกษาครั้งนี้ผู้เขียนได้ใช้พระอุโบสถกลางน้ำเป็นฐานการเรียนรู้ โดยเน้นให้เด็กเยาวชนได้เรียนรู้ถึงรูปแบบของศิลปะเมืองล้านนาและความหมายที่ควรจะเป็นผ่านรูปทรงล้านนาประยุกต์ ตลอดจนถึงงานด้านจิตรกรรมฝาผนังที่เป็นภาพในความคิดและจินตนาการของคุณอังคาร กัลยาณพงษ์ และคุณภาพตะวัน สุวรรณกูฎ
จุดที่สาม วัฒนธรรมที่รวมใจคนพะเยา ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้เขียนได้กำหนดบริเวณพระวิหารหลวงเป็นที่ศึกษาเรียนรู้ โดยเน้นประวัติความเป็นมา พุทธลักษณะ ความหมาย ตลอดจนถึงองค์ประกอบอื่น ๆ ของพระเจ้าตนหลวง หรือที่เนื่องด้วยประเพณี ศิลปวัฒนธรรม กิจกรรมที่จัดในแต่ละปี เช่น งานแปดเป็ง งานกฐินพระราชทาน งานสงกรานต์ งานตานก๋วยสลาก เป็นต้น นอกจากนี้แล้วยังให้คุณค่าของพระเจ้าตนหลวงในฐานะเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณแห่งคนลุ่มน้ำโขงอีกด้วย
จุดที่สี่ แอ่งวัฒนธรรมแห่งเมืองพะเยา ในจุดนี้ผู้เขียนได้กำหนดบริเวณศาลารายรอบพระวิหารหลวง ที่เปรียบเหมือนพิพิธภัณฑ์พระพุทธรูปหินทรายจำนวนมาก ที่พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ได้เก็บรักษาเอาไว้ โดยเน้นให้เห็นถึงความสำคัญประติมากรรมพระพุทธรูปหินทรายและความเป็นมา ตลอดจนถึงแนวคิดพัฒนาการและบ่อเกิดวัฒนธรรมแห่งเมืองพะเยา
จุดที่ห้า แหล่งความรู้คู่ประติมากรรม ในจุดนี้ผู้เขียนได้กำหนดบริเวณสวนศิลป์ที่อยู่ใกล้ประตูทางด้านเหนือของวัด หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ประตูเปรต โดยเน้นให้เห็นถึงอิทธิพลของพระพุทธศาสนาตามแนวคิด “วรรณกรรมเรื่องไตรภูมิพระร่วง” โดยทางพระเดชพระคุณหลวงปู่ได้ให้มีการจัดสร้างสวนศิลป์เอาไว้ให้คนไทยได้ศึกษาถึง “บาป-บุญ-คุณ-โทษ” ตลอดจนถึงความมุ่งหมายของปฏิมากรรมนั้น ๆ จนสามารถทำให้เกิดการอุปมาอุปมัย จินตนาการที่สร้างสรรค์
ส่วนเครื่องมือที่ผู้เขียนใช้ก็คือ การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง (เพศ อายุ สถาบัน รายจ่าย/เดือน สถานภาพผู้ปกครอง) และเป็นหัวข้อการสัมภาษณ์หรือสนทนา ในหลักการ ๓ ประการ คือ
ก.หลักการมัคคุเทศก์ที่ดี
ข.การแนะนำแหล่งเรียนรู้
ค.วิธีเผยแผ่ประชาสัมพันธ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น
จากการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลงานที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ได้ทำเอาไว้ตลอดระยะเวลา ๔๒ ปีของท่าน (หลวงปู่ย้ายมาอยู่วัดศรีโคมคำ ปี ๒๕๑๒) ทำให้วัดศรีโคมคำมีแหล่งการเรียนรู้อยู่เป็นจำนวนมาก แต่ยังขาดการเจียรนัยให้เกิดเป็นมณีอันมีค่าโดยเฉพาะผู้บริหารในระดับจังหวัด และผู้คนในท้องถิ่นที่ยังไม่ได้ตระหนักถึงคุณค่าที่มีอยู่ จนกลายเป็นภาวะของการละเลยและการเอาใจใส่อย่างแท้จริง จนทำให้แหล่งการเรียนรู้เหล่านั้นขาดการส่งเสริมพัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น
จากผลการศึกษาดังกล่าวทำให้พบว่า ในข้อมูล ๒ ประเด็น คือ
๑.สรุปจากข้อมูลเชิงคุณภาพ
จุดที่ ๑ หอวัฒนธรรมนิทัศน์ ผลการศึกษาผู้เข้าร่วมสัมมนามองว่าเป็นแหล่งรวบรวมเรื่องราวทางด้านสังคม วัฒนธรรมประเพณีของเมืองพะเยาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และถือว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ระดับจังหวัดของเมืองพะเยามากกว่า การมองว่าเป็นเพียงวิถีชีวิต เป็นเพียงแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้ได้เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญและความเสื่อมของเมืองพะเยาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
จุดที่ ๒ พระอุโบสถกลางน้ำ ผลการศึกษาผู้เข้าร่วมสัมมนามองว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังและศิลปะแบบล้านนาประยุกต์เป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจและสวยงามประกอบกับทำเลที่ตั้งของตัวพระอุโบสถมีความน่าดึงดูดกว่าเรื่องอื่น ๆ อันเป็นสิ่งที่คนพะเยาภาคภูมิใจ
จุดที่ ๓ พระเจ้าตนหลวง ผลการศึกษาผู้เข้าร่วมสัมมนามองในเรื่อง ๓ เรื่องมีความสำคัญพอ ๆ กัน คือ การเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน เป็นพระพุทธปฏิมากรที่ยิ่งใหญ่ในล้านนา และเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของคนพะเยา มากกว่าการเป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งเรียนรู้ และประเพณีประจำปี
จุดที่ ๔ พระพุทธรูปหินทราย ผลการศึกษาผู้เข้าร่วมสัมมนาได้มองว่าเป็นการแสดงถึงศิลปะ รูปแบบการแกะสลักหรือเป็นศิลาจารึกมากที่สุด รองลงมาคือมองว่าเมืองพะเยาเป็นแหล่งที่มีวัฒนธรรมหินทรายที่สำคัญที่สุด และที่สำคัญได้ชี้ให้เห็นว่าเป็นเอกลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองของเมืองพะเยาในอดีต
จุดที่ ๕ สวนศิลป์ ผลการศึกษาผู้เข้าร่วมสัมมนาได้มองว่าเป็นสถานที่ ที่ทำให้เกิดการสะท้อนให้เห็นภาพของการมีบาป-บุญ-คุณ-โทษ มากกว่าเป็นเรื่องของความรู้ จินตนาการ หรือข้อคิดเตือนใจ ทั้งนี้มีการกระทำของตัวเองเป็นเครื่องวัดระดับจิตวิญญาณด้วย
๒.สรุปจากข้อมูลเชิงปริมาณ
ด้านการใช้เทคนิคของผู้นำชม (ไกด์) ผู้เข้ารับการสัมมนาได้ใช้เทคนิค ๑๒ ประการ เรียงลำดับ ดังนี้ อธิบายเป็นขั้นเป็นตอนให้เข้าใจ (๒๓.๐๗) นำชมให้เห็นของจริง (๑๐.๙๘) ผู้นำชมต้องมีความรู้ (๑๐.๙๘) ผู้นำชมต้องมีสื่ออุปกรณ์เสริม (๙.๘๙) การสอดแทรกมุกตลก (๘.๗๙) มีทักษะและสร้างแรงจูงใจ (๖.๕๙) นอกนั้นจะมีระดับที่เท่ากันคือ (๓.๒๙) ประกอบไปด้วย ขึ้นอยู่กับบุคลิกผู้นำชม, การพูดชัดถ้อยชัดคำ,การมีส่วนร่วมของผู้เข้าชมและผู้เข้าชมสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
ด้านปัญหาและอุปสรรค
ผู้เข้ารับการสัมมนาได้ให้ทรรศนะในการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ ๑๐ อันดับแรก เรียงลำดับ ดังนี้ ระยะเวลาในการสัมมนามีน้อย (๓๖.๔๑) อากาศร้อน-หอวัฒนธรรมนิทัศน์- (๙.๘๗) ไม่แม่นในเนื้อหา –ผู้บรรยายประจำจุดพระเจ้าตนหลวง (๖.๑๗) ฟังไม่ทันหรือได้เนื้อหาไม่ครบ -เวลาน้อย (๖.๑๗) สถานที่ไม่สะอาด-สวนศิลป์ (๔.๙๓) ไม่กล้าแสดงออก (๔.๓๒) ระยะทางของแต่ละจุดไกลกัน (๔.๓๒) ความไม่สนิทสนมกัน (๓.๗๐) สถานที่อยู่ในช่วงบูรณะ-พระวิหาร (๓.๗๐) และจำนวนผู้เข้าสัมมนากับวิทยากรประจำฐานไม่มีสัดส่วนไม่เหมาะสม (๓.๐๘)
ด้านแนวทางการส่งเสริม
ผู้เข้าร่วมการสัมมนาได้ให้ทรรศนะในการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ ๑๐ อันดับแรก เรียงลำดับ ดังนี้ ปลูกฝังให้เยาวชนคนในท้องถิ่นเข้ามาศึกษาเรียนรู้ (๙.๙๒) ควรให้มีการอบรมมัคคุเทศก์เป็นประจำ (๙.๑๖) มีการประชาสัมพันธ์สถานที่ (๗.๖๓) จัดให้มีการอนุรักษ์ฟื้นฟู (๖.๘๗) จัดแจงสถานที่ให้เรียบร้อย (๔.๕๘) ติดป้ายบอก,เตือน,โฆษณา (๔.๕๘) มีกิจกรรมเสริม (๓.๘๑) จัดให้มีวิทยากรประจำจุดพร้อมบรรยาย (๓.๘๑) อีก ๕ ประเด็นที่ได้ (๓.๐๕) คือ ควรเสนอเป็นแผ่นผับ, จัดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว, มีการผลิตเอกสารเกี่ยวกับแหล่งการเรียนรู้, ผู้เข้าร่วมการสัมมนาจะเป็นสื่อเผยแผ่เอง, มีการจัดวางสินค้า OTOP ร่วมอยู่ด้วย และอีก ๖ ประเด็นที่ได้ค่า (๒.๒๙) คือ ควรจัดให้มีสื่อทันสมัยประกอบ, มีการตกแต่งสถานที่ให้น่าสนใจ, ระบุคุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่น, จัดตั้งชมรมมัคคุเทศก์อาสา, ส่งวิทยากรไปตามสถาบันการศึกษา, ควรมีเรือหรือรถบริการนำชม
ไม่มีความเห็น