บทที่ ๒
คำว่า วัฒนธรรม มาจากคำสองคำคือ วัฒน แปลว่าเจริญก้าวหน้า, งอกงาม กับคำว่า ธรรม แปลว่าคุณงาม, ความดี, บ่อเกิดความดี เป็นต้น เมื่อรวมกันแล้วจะได้ความว่าบ่อเกิดแห่งความดีที่เจริญงอกงาม หรือสภาพแห่งความเจริญที่เป็นคุณงามความดีแห่งกลุ่มชน นั่นเอง
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้ให้ความหมายของวัฒนธรรมเอาไว้ ๒ ลักษณะคือ
“....๑.ความหมายทั่วไป (General Definition) วัฒนธรรมคือวิถีชีวิตของคนในสังคมที่เป็นแบบแผนการประพฤติปฏิบัติและการแสดงออกซึ่งความรู้สึกนึกคิดในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่สมาชิกในสังคมเดียวกันสามารถเข้าใจ ซาบซึ้ง ยอมรับ และใช้ปฏิบัติร่วมกัน อันจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมนั้น ๆ ๒.ความหมายเชิงปฏิบัติการ (Operation Definition) วัฒนธรรมหมายถึงความเจริญงอกงาม ซึ่งเป็นผลจากระบบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับสังคมและมนุษย์กับธรรมชาติ สามารถจำแนกออกเป็น ๓ ด้าน คือ จิตใจ สังคม และวัตถุ มีการสั่งสมและสืบทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง จากสังคมหนึ่งไปสู่อีกสังคมหนึ่ง จนกลายเป็นแบบแผนที่สามารถเรียนรู้และก่อให้เกิดผลิตกรรมและผลิตผล ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม อันควรแก่การวิจัย อนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนา ถ่ายทอด ส่งเสริม เสริมสร้างเอตทัคคะและแลกเปลี่ยนเพื่อสร้างเสริมดุลยภาพระหว่างมนุษย์ สังคม และธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอย่างมีสันติภาพ สันติสุข และอิสรภาพอันเป็นพื้นฐานแห่งอารยธรรมของมนุษยชาติ...” [1]
ความเป็นปราชญ์ในฐานะนี้มีผู้กล่าวถึงและจัดทำเป็นรูปเล่มที่น่าสนใจเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว ซึ่งในที่นี้จะขอกล่าวเอาไว้โดยย่อเท่านั้น
..................................................
๒.๑.วัดศรีโคมคำ
..................................................
เป็นวัดแห่งการเรียนรู้ ซึ่งสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาได้ส่งนักวิจัยเข้ามาศึกษาและพิมพ์เผยแผ่ในหัวข้อ “รูปแบบการจัดการศึกษาและการเผยแผ่ศาสนธรรมของวัดในพระพุทธศาสนากรณีศึกษาวัดศรีโคมคำ ประเภทการจัดแหล่งเรียนรู้” ประจำปีงบประมาณ ๒๕๔๖ ซึ่งทางวัดได้มอบหมายให้ผู้เขียนเป็นผู้ช่วยนักวิจัยคอยให้ข้อมูล เสนอแนะ และร่วมทำงาน
ในที่นี้จะขอยกเอาบทความเรื่อง “แนวทางในการสร้างวัดให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ ” [2] มานำเสนอเพื่อผู้อ่านจะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ดังนี้
แม้ทางวัดศรีโคมคำจะมีพื้นที่กว้างขวาง โดยจัดออกเป็น ๒ ส่วน คือส่วนของวัดศรีโคมคำ มีเนื้อที่ ๗๔ ไร่ พื้นที่ลานหน้าวัดอีก ๑๘ ไร่ ส่วนที่เป็นพระธาตุจอมทองอีก ๑๐๘ ไร่ เมื่อรวมเบ็ดเสร็จแล้วกว่า ๒๐๐ ไร่ [3] แต่พื้นที่ทั้งหมดก็ถูกใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมชุมชนแทบทุกตารางนิ้ว โดยจะขอแบ่งออกเป็นบริเวณ หรือเขต ดังต่อไปนี้
๑) บริเวณพระธาตุจอมทอง ซึ่งอยู่ห่างจากวัดศรีโคมคำไปทางทิศเหนือประมาณ ๑ กิโลเมตรตั้งอยู่บนดอยใจกลางเมืองพะเยา บริเวณดังกล่าวนี้สามารถมองดูตัวเมืองพะเยา, กว๊านพะเยา ได้รอบทิศทางชัดเจน สามารถเดินทางขึ้นสู่พระธาตุได้ ๓ ทางคือ ทางด้านหน้าขึ้นบันไดนาค และมีทางเบี่ยงที่เป็นทางลาดยางรถยนต์สามารถขึ้นได้ ทางด้านทิศหลังพระธาตุสามารถขึ้นได้ทางแขวงการทางใกล้ศาลากลางจังหวัดพะเยา และทางถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ด้านหอจดหมายเหตุแห่งชาติ บริเวณนี้อาจแยกได้เป็น ๖ จุดดังนี้
๒) บริเวณอุทยานการศึกษา บริเวณนี้แบ่งเป็นแหล่งการศึกษาถึง ๓ จุดด้วยกัน
๓) บริเวณพระวิหาร บริเวณนี้ที่น่าสนใจมีอยู่ ๔ จุด คือ
๔) บริเวณพระอุโบสถกลางน้ำ บริเวณนี้แบ่งได้ ๓ จุดด้วยกัน คือ
๕) บริเวณมหาวิทยาลัยสงฆ์
บริเวณนี้เป็นสถาบันทางการศึกษาระดับสูงของพระพุทธศาสนา ปัจจุบันเปิด
หลักสูตรในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท โดยเน้นพระไตรปิฎกในการเรียนการสอนผู้ที่ต้องการรู้ถึงเนื้อหาสาระของหลักธรรมหรือประวัติศาสตร์ทางศาสนาต่าง ๆ ปัจจุบันเปิดกว้างให้คฤหัสถ์สามารถเข้ามาศึกษาต่อได้แล้ว นอกจากนี้ทางวัดยังได้สร้างศาลาปฏิบัติธรรมขึ้นมาอีกแห่งหนึ่งในบริเวณดังกล่าวเพื่อใช้เป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติของผู้สนใจทั้งหลายและถือว่าเป็นศูนย์ปฎิบัติธรรมประจำจังหวัดพะเยาด้วย
นอกจากนี้แล้วทางวัดศรีโคมคำร่วมกับเทศบาลเมืองพะเยา ได้ปรับปรุงบริเวณวัดให้เป็นทั้งแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวนันทนาการอีก ๒ ส่วน คือ
๖) ลานแสดงสินค้าหน้าวัด
วัดได้จัดสร้างกลุ่มอาคารร้านค้าและลานจอดรถให้โดยมีพื้นที่ทั้งหมดจำนวน ๑๘ ไร่เพื่อให้เป็นศูนย์รวมสินค้าพื้นบ้านและผลิตภัณฑ์ OTOP หรือ ๑ ผลิตภัณฑ์ ๑ ตำบล หรือตามแต่ความสะดวกของพ่อค้าแม่ค้าที่อาจจะเสนอสินค้าประเภทเครื่องใช้ ของอุปโภคบริโภค ของที่ระลึกอย่างอื่นก็ได้
๗) กว๊านพะเยา (บริเวณติดด้านหลังวัด)
ปัจจุบันทางเทศบาลเมืองพะเยากับการท่องเที่ยวได้จัดสรรเงินงบประมาณในการสร้างเขื่อนหลังวัดเพื่อให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและทำกิจกรรมบริเวณกว๊านพะเยาในวงเงินจำนวนถึง ๑๙ ล้านบาท
....................................................................
๒.๒.หอวัฒนธรรมนิทัศน์
......................................................................
บริเวณนี้เป็นแหล่งข้อมูลพื้นฐานที่สามารถของจังหวัดพะเยา โดยมีแนวคิดว่าดูที่เดียวเที่ยวได้ทั้งจังหวัดเลยก็ว่าได้ เพราะสถานที่แห่งนี้ถือว่าเป็นประตูสู่อาณาจักรภูกามยาว ๙๐๐ กว่าปี ได้ความรู้ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรมประเพณี ทั้งยุคต้น-ยุคกลาง-ยุคปัจจุบัน-ความหวังหรือยุคอนาคตของพะเยาอีกด้วย รวมไปถึงวิถีชีวิตของคนพะเยาที่มีความผูกพันกับกว๊านพะเยา
อาจถือว่าเป็นผลแห่งการสร้างองค์ความรู้ของพระเดชพระคุณหลวงปู่ในฐานะปราชญ์ท้องถิ่น และสามารถทำให้ผู้ที่สนใจในอดีตเมื่อเข้ามาศึกษาค้นคว้าก็เปรียบดังการเปิดแว่นสายตาก้าวเข้าสู่อาณาจักรภูกามยาวทั้งในส่วนของอดีต-ปัจจุบัน และอนาคต อย่างสมบูรณ์แบบและครบวงจรเลยทีเดียว
..................................................................
๒.๓.หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
....................................................................
แม้พระเดชพระคุณหลวงปู่ไม่ได้จัดสร้างเองแต่ก็เป็นผู้สนับสนุนอย่างมากในการให้เกิดการจัดสร้างขึ้นโดยอาศัยข้อมูลแหล่งประวัติศาสตร์และความเป็นไปได้รวมทั้งเป็นผู้อนุญาตให้ใช้พื้นที่ของวัดเป็นสถานที่ก่อตั้งโดยหวังว่าจะเป็นเครื่องมือให้อนุชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้ค้นคว้าและเติมเต็มทางด้านสติปัญญา
[1] พิมพ์พรรณ เทพสุเมธานนท์, รศ.และคณะ. การศึกษาเพื่อพัฒนาชีวิตและสังคม. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๒), หน้า ๖๗๘-๖๗๙.
[2] พระครูโสภณปริยัติสุธี (ศรีบรรดร ถิรธมฺโม). แปดเป็งประเพณีนมัสการพระเจ้าตนหลวงเมืองพะเยา. (พะเยา : นครนิวส์การพิมพ์, ๒๕๔๘), หน้า ๑๐๑-๑๑๐.
[3] จำนวนดังกล่าวนี้เป็นการประเมินจากเอกสารที่มี ถ้าคำนวนตามคำบอกเล่าของพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ คาดว่ามีมากกว่า ๕๐๐ ไร่
ไม่มีความเห็น