บทที่ ๑
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ : ผญาในฐานะการส่งเสริมงานด้านการศึกษานี้ เป็นที่เข้าใจว่าตลอดอายุการทำงานของพระเดชพระคุณท่าน ได้คลุกคลีอยู่กับการส่งเสริมการศึกษาในหลากหลายระดับชั้น ตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษา สิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ได้ทำนั้นล้วนแล้วแต่เป็นนวัตกรรมแห่งยุคสมัยในสังคมพะเยาทั้งสิ้น เริ่มจากการสร้างโรงเรียนพินิตประสาธน์ ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมสำหรับพระภิกษุสามเณร สำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลี ประจำจังหวัด และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา อันถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ แห่งเดียวในเมืองพะเยา มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
…………………………………………………………………………
๑.๑.พระอุบาลีคุณูปมาจารย์กับโรงเรียนพินิตประสาธน์
………………………………………………………………………….
โรงเรียนพินิตประสาธน์ เป็นโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา มีการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๑ – ปีที่ ๖ ซึ่งเป็นหนึ่งใน ๑๐๒ โรงเรียนของโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนาทั่วประเทศ ในสมัยที่พระเดชพระคุณหลวงปู่จำพรรษาอยู่ที่วัดศรีอุโมงค์คำ (วัดสูง)[1] ท่านมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่อยากให้พระภิกษุสามเณรชาวพะเยา มีความรู้ทางวิชาการทั้งทางโลกและทางธรรมให้มีความทัดเทียมกับจังหวัดอื่น ๆ ที่มีการเปิดทำการเรียนการสอนไปแล้ว แต่ถ้าหากว่าจะรอคอยนโยบายและงบประมาณในการจัดสร้างสถาบันการศึกษาจากทางรัฐบาลแล้ว ก็เป็นการยากยิ่ง เนื่องจากวิธีการ ขั้นตอน ที่รัฐบาลจะอุดหนุนนั้นมุ่งไปที่ลูกหลานชาวบ้านโดยทั่วไปมากกว่าจะให้โอกาสทางการศึกษาแก่พระภิกษุสามเณร เนื่องจากมีจำนวนประชากรที่มากกว่าและจำนวนงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นจึงละเลยการจัดการศึกษาสำหรับพระภิกษุสามเณรในสมัยนั้นอย่างน่าน้อยใจยิ่ง พระเดชพระคุณหลวงปู่จึงคิดหาแนวทางที่ท่านจะสามารถดำเนินการได้เองโดยทันที จึงได้แนวคิดมาจากโรงเรียนในจังหวัดลำพูน ในเรื่องดังกล่าวนี้พระราชวิริยาภรณ์ [2] ผู้ซึ่งมีความใกล้ชิดและทราบเหตุการณ์ดังกล่าวได้ให้ทัศนะเอาไว้ว่า
“ ...การที่หลวงปู่ท่านได้ก่อตั้งโรงเรียนพินิตประสาธน์ เมื่อปี
พ.ศ. ๒๕๐๓ เพราะเห็นว่าพระภิกษุสามเณรเรียนบาลี-นักธรรมอย่างเดียว
หวังจะให้พระเณรมีความรู้วิชาสามัญทางโลกบ้าง โดยนำวิธีการเหมือนใน
จังหวัดลำพูนที่จัดตั้งโรงเรียนเมธีวุฒิกรมาใช้
...เริ่มก่อสร้างอาคารขึ้นหนึ่งหลัง เปิดรับนักเรียนที่เป็นพระภิกษุสามเณรและเด็กหนึ่งห้องเรียนมีนักเรียนประมาณ ๕๐ รูป/คน เก็บค่า
เล่าเรียนคนละ ๕๐ บาท/เดือน เริ่มเรียนตั้งแต่ ป.๕ ขึ้นไป
พอถึง ป.๗ นักเรียนต้องไปสอบเทียบที่โรงเรียนพะเยาพิทยาคมเอาเอง
เพราะรัฐบาลยังไม่รับรองวิทยฐานะ”
เราจะเห็นได้ว่า การเปิดทำการเรียนการสอนในยุคสมัยนั้น แม้จะมีเจตนาที่ดี แต่ทางโรงเรียนก็มีความไม่พร้อมในหลายด้าน และที่สำคัญมีปัญหามากมายทั้งด้านปัจจัยนำเข้าคือตัวนักเรียนที่มีจำนวนน้อย ด้านปัจจัยนำออก คือผลผลิตที่รัฐบาลเองยังไม่รับรองสถานภาพ ทั้งยังมีปัญหาเรื่องการบริหารจัดการ หรือ ๔ M กล่าวคือ
M ตัวที่หนึ่งคือบุคลากรหรือตัวครูผู้สอนก็ไม่พร้อม
M ตัวที่สองคือเงินงบประมาณที่ใช้จ่ายบริหารจัดการก็ไม่เพียงพอ
M ตัวที่สามคือวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการเรียนการสอนก็ขาด ๆ เกิน ๆ และ
M ตัวสุดท้ายคือการบริหารจัดการก็ยังไม่ใช่มืออาชีพ เป็นผู้ใหม่ทั้งระบบ โดยสามารถสรุปประเด็นได้อีก ดังต่อไปนี้
๑.พระภิกษุสามเณรเรียนภาษาบาลี และนักธรรมอย่างเดียว ซึ่งการจะให้เยาวชนเหล่านี้เมื่อออกจากพระศาสนาไปแล้ว การออกไปอย่างไม่มีความรู้ ก็ไร้คุณค่าในสังคม การจะออกไปอย่างไม่มีเป้าหมาย ย่อมไม่มีพลังเพียงพอในการแก้ปัญหาสังคม
๒.สภาพการเงินงบประมาณของโรงเรียน ก็น้อยนิด การมีอาคารและมีเงินจ่ายค่าครูสอนก็ถือว่าใช้ได้แล้วในยุคนั้น
๓.รัฐบาลไม่รับรองวิทยฐานะโรงเรียน เป็นลักษณะการตั้งขึ้นก่อน แล้วเสนอเปิดทำการเรียนการสอนควบคู่กันไป
๔.ไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐเท่าที่ควร
๕.ครูผู้สอนไม่พร้อมทั้งจำนวนและคุณภาพ
๖.อุปกรณ์การศึกษายังขาดแคลนอยู่เป็นจำนวนมาก
ถึงกระนั้นก็ตาม ความมุ่งมั่นที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านได้ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งกำลังกาย-กำลังใจ-กำลังทรัพย์ จนทำให้โรงเรียนวัด หรือโรงเรียนแบบเล้าไก่ ที่ได้รับการเย้ยหยัน สู่สถาบันที่มีมาตรฐานทางการศึกษาที่สูงส่งยิ่งในยุคสมัย จนสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนได้อย่างไม่ต้องอายใคร ๆ สถานการณ์ดังกล่าวนี้กลับทำให้โรงเรียนวัดมาตรฐานเล้าไก่ ได้รับการยกย่องอย่างน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ดูได้จากทัศนะของพระราชวิริยาภรณ์ พูดถึงกรณีนี้อย่างตื่นเต้นว่า
“.....การสอบเทียบสมัยนั้น ได้รับคำชมเชย
จากครูผู้ตรวจข้อสอบว่า นักเรียนวัด
ของหลวงปู่เก่งมากเขียนตัวหนังสือก็ดี เป็นระเบียบ เรียบร้อย สวยงามมาก
ตรวจก็ง่าย อันเนื่องมาจากพระภิกษุสามเณรของเราจบนักธรรมชั้นโท
ชั้นเอกกันทั้งนั้น ผลสอบก็ติดอันดับที่หนึ่งอยู่ตลอด
นักเรียนโรงเรียนอื่นจะสู้ไม่ได้เลย....” [3]
นั้นก็หมายความว่า โรงเรียนของท่านที่มีคนตั้งประเด็นที่ไร้มาตรฐาน หรือด้อยคุณภาพ จึงถูกลบออกจากสารบบทันที ทำให้ผู้บริหารการศึกษาในระดับจังหวัดสมัยนั้นชื่นชมไปด้วยเพราะผลงานที่นักเรียนได้สอบในระดับต่าง ๆ ได้ปรากฏชัดเป็นเครื่องยืนยันในเรื่องดังกล่าวแล้ว
เมื่อไม่มีเงินสนับสนุนจากหน่วยงานราชการ ทุนในการจัดการเรียนการสอนหรือเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน ตลอดจนเป็นค่าก่อสร้างอาคารเรียน ในฐานะผู้ก่อตั้ง พระเดชพระคุณหลวงปู่ใช้กลยุทธ์การจัดการที่หลากหลาย โดยใช้วิธีการเข้าใกล้ เข้าใจ เข้าถึง พอจะประมวลได้ ดังนี้
๑.ระดมเงินทุนจากญาติโยม โดยการเทศน์หาเงิน บอกบุญ
๒.การแสวงหาความร่วมมือจากหน่วยงานส่วนราชการท้องถิ่น
เรื่องดังกล่าวนี้เราจะทราบได้จากคำบอกเล่าในเรื่องเดียวกันที่ว่า
“.....เมื่อโรงเรียนของวัด ไม่ได้รับเงินงบประมาณ
ไม่มีเงินกองทุนเพียงพอ หลวงปู่ต้องออกหาเงินมา
สร้างอาคารโดยการไปอบรมประชาชน เทศน์บรรยายธรรมตามหมู่บ้าน
ตำบลต่าง ๆ เป็นเวลาหลายปี
......เมื่อพูดถึงเรื่องยานพาหนะ ก็ไม่มีเหมือนสมัยนี้
ต้องอาศัยรถสำนักงานศึกษาธิการอำเภอ ไปเทศน์อบรมตาม
หมู่บ้านได้ปัจจัยเงินทองมาก็สร้างอาคารเรียน”[4]
หากมองดูความยากลำบากของหลวงปู่ใหญ่ในยุคเริ่มต้นแล้ว เราจะเห็นว่าท่านเป็นนักต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่มาก ดังคำกล่าวของนายสงวน นันทชาติ [5] ซึ่งเป็นศิษย์อีกท่านหนึ่งซึ่งมีส่วนในการริเริ่มงานด้านการศึกษาให้กับพระภิกษุสามเณรชาวพะเยาว่า
“.....ปีแรกของการจัดตั้งโรงเรียนมีอุปสรรคหลายประการ
มีครูเพียง (แค่) ๒ ท่าน โดยมีนักเรียนถึง ๕๐-๖๐ คน
หรือกว่านั้น หลวงปู่ทำหน้าที่ทุกอย่างเป็นทั้งเจ้าของ ผู้จัดการ
ครูผู้สอน ภารโรง เป็นผู้ปกครองอุปการะเลี้ยงดูพระภิกษุสามเณร
เด็กวัดเป็นหน้าที่ของท่านทั้งหมด.....”[6]
นั้นก็หมายความว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ หลวงปู่ใหญ่ได้ผ่านอะไรมาแล้วมากมาย ผ่านร้อน ผ่านหนาว ทำให้คนรุ่นหลังอย่างเรา สะดวกสบายจนมองไม่ออกว่า อดีตของวันเวลาที่ก้าวเดินมาของสถาบันการศึกษาแห่งนี้เจ็บปวดเพียงใด
ปัจจุบัน โรงเรียนเล้าไก่ของพระเดชพระคุณท่านก่อตั้งมาครบ ๕๑ ปี ได้สร้างสรรค์ผลงานในหลายด้าน คือ
๑.ด้านบุคลากรผู้ร่วมก่อตั้งเป็นบุคลากรในระดับประเทศหลายท่าน เช่น นายสงวน นันทชาติ อดีตสมาชิกวุฒิสภา, พระราชวิริยาภรณ์ อดีตประธานโรงเรียนการกุศลของวัด ๑๐๒ โรงเรียนทั่วประเทศ หรือแม้แต่พระอุบาลีคุณูปมาจารย์เองก็เป็นปราชญ์ล้านนาที่มีผลงานด้านวรรณกรรมมากมาย จนกลายเป็นผู้มีผลงานระดับชาติ
๒.ด้านผลผลิต ที่สามารถผลิตบุคคลระดับคุณภาพหลายท่าน กระจายไปทั่วทุกวงการ ผู้ที่จบแล้วเป็นดอกเตอร์ ครูอาจารย์ ตำรวจ ทหาร หลายต่อหลายท่าน เช่น เกรียงไกร ไชยมงคล อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, ผศ.ดร.สมาน ฟูแสง เป็นต้น ในประเด็นนี้ ผู้เขียนจำได้ว่า อาจารย์พินัน บุญนัด เคยปรารภให้นักเรียนฟังเสมอ ๆ ว่า ก่อนนี้พระภิกษุสามเณรขยันเรียนหนังสือมาก อ่านหนังสือ ท่องหนังสือแข่งกัน จนดึกจนดึ่น หลวงปู่ออกมาตรวจกุฎิทีไร เป็นต้องตะโกนว่า “นอนหลับพักผ่อนกันบ้างเถิด ๆ พรุ่งนี้ค่อยอ่านต่อ” ทำให้ลูกศิษย์รุ่นแรก ๆ ก้าวหน้าไปไกลหลายคน ต่อมายุคปัจจุบัน ถ้าหลวงปู่มาตรวจสภาพการเรียนการสอน คงจะตะโกนใหม่ว่า “นักเรียนทั้งหลาย พากันอ่านหนังสือกันบ้างเถิด จะมัวเสียเวลา เล่น นอน อยู่เลย” ซึ่งเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงการเอาจริงเอาจังของการศึกษาในยุคของหลวงปู่ท่าน
๓.ด้านตัวสถาบันเอง ก็สามารถทำงานเสมือนเป็นเครื่องจักรตัวหนึ่งที่ขับเคลื่อนการพัฒนาเพื่อยกระดับการศึกษาให้กับชุมชนท้องถิ่นได้อย่างดียิ่งพร้อมกับส่งต่อนักเรียนที่มีคุณภาพออกไปสู่สังคมภายนอกในระดับต่าง ๆ
......................................................................................................................................................
๑.๒.พระอุบาลีคุณูปมาจารย์กับสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลี
........................................................................................................................................................
เมื่อดูจากประวัติงานด้านการศึกษาของวัดศรีโคมคำนั้น [7]เราจะเห็นว่าสำนักเรียนนั้นเริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ๒๔๗๘ ซึ่งเป็นยุคของครูบาปัญญา ปญฺโญ เป็นเจ้าอาวาสโดยมีครูบาแก้ว คนฺธวํโส เป็นรองเจ้าอาวาส แม้จะเริ่มต้นได้ดีคือมีพระภิกษุ-สามเณร เข้าเรียนจำนวนมากถึง ๖๐ รูปก็ตาม แต่ปัญหาก็ตามมาอีกหลายประการ แต่ที่พอจะสรุปได้ดังนี้ คือ
๑.ขาดแคลนครูผู้สอนบาลี และขอย้ายกลับไปสำนักเดิม
๒.นักเรียนลดลง และย้ายเข้าไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ
๓.การเจ็บป่วยของเจ้าอาวาสขาดผู้ดูแลเอาใจใส่
เมื่อลุถึงปี พ.ศ.๒๕๑๙ หลวงปู่พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ [8] ก็เริ่มทำการเปิดให้มีการเรียนการสอนบาลีอีกครั้งหนึ่งโดยได้ดำเนินการ ดังนี้
“......เมื่อเริ่มเปิดสอนบาลี สอนเองบ้าง เอาพระมหาพูล พัฒใหม่มาช่วยสอนได้ ๗ ปีก็เลิกไป พอปี ๒๕๒๐ ได้พระครูโสภณวีรธรรม (มหาศรีจันทร์) มาสอนอยู่ ๒ ปี มีนักเรียนประมาณ ๒๐ รูป ในปีนั้นมีสามเณรคำไหว ธรรมวงศ์ ซึ่งเป็นคนบ้านใหม่ ฟากกว๊านซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของเมืองพะเยาและสามเณรอ้วน สอบ ป.ธ. ๓ ได้ ทำให้นักเรียนตื่นตัวและสนใจการเรียนมากขึ้น โดยลำดับ
.....เมื่อพระครูโสภณวีรธรรม ได้ชักชวนพระครูสิริขันติวราภรณ์มาช่วยสอนอีกแรงทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและ
มีอุปกรณ์การศึกษานักเรียนอาจารย์จนการศึกษาแผนกนี้เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างมาก....”[9]
ความสำเร็จ ด้านการศึกษาบาลีนั้นก็เนื่องมาจากท่านได้ ๒ ขุนศึกมาเป็นกำลังหลักในการบริหารจัดการการศึกษาด้านนี้ คือพระครูโสภณวีรธรรม (ศรีจันทร์ คำเหนือ - ลาสิกขา) และพระครูสิริขันติวราภรณ์ (ปัจจุบันย้ายไปจำพรรษา ณ วัดเนินสุทธาวาส จังหวัดชลบุรี บ้านเกิดท่าน) ดังข้อเขียนในเรื่อง “หลวงพ่อเล่าให้ฟัง” ที่ว่า
“....ต่อมาภายหลังได้ติดต่อครูบาอาจารย์จนได้พระมหาศรีจันทร์ กนฺตวีโร ขึ้นมาสอนประมาณปี ๒๕๒๐ ได้เรียนรู้การเรียนการสอนการท่องบาลี จากภาคอีสานมาเขาไม่ต้องเรียนกันแบบข้ามปี เรียนปีไหนก็สอบได้ปีนั้น
ก็เลยเอาหลักสูตรมาเปลี่ยนแปลงใหม่เพราะสมัยก่อนเรียนไวยากรณ์เรียนแปลกว่าจะได้สอบก็ใช้เวลา ๒-๓ ปี ปรากฏว่าวิธีนี้เกิดความสำเร็จขึ้นมา เมื่อมีคนสอบได้ก็มีผู้สนใจเข้ามาเรียนมากขึ้นตามลำดับ จำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นเกือบ ๙๐ รูป เมื่อเรียนมาก ก็สอบได้มากเป็นที่เชิดหน้าชูตาของสำนักเรียน....”[10]
แม้ว่าพระเดชพระคุณหลวงปู่ใหญ่จะเน้นการเปิดสำนักเรียนบาลี-นักธรรมอย่างหนักแน่นก็ตาม แต่ท่านก็ยังได้เปิดโอกาสให้กับการศึกษาแผนกอื่น ๆ เข้ามาแทรก เช่น ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ เพื่อให้เยาวชนของชาติได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ศูนย์พัฒนาเยาวชน ศูนย์ปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด เป็นต้น จนทำให้วัดศรีโคมคำ เป็นวัดศูนย์กลางการเรียนรู้แบบบูรณาการ และเป็นวัดต้นแบบให้กับวัดและจังหวัดต่าง ๆ ในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ
.............................................................................................................................................................
๑.๓.พระอุบาลีคุณูปมาจารย์กับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา
...........................................................................................................................................
ความเป็นผู้ใคร่ในการศึกษาของพระเดชพระคุณหลวงปู่ เป็นที่ทราบกันดีมาทุกยุคทุกสมัย เมื่อท่านอยู่ที่ไหนก็ตาม ท่านมักจะสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับท้องที่นั้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านการศึกษา ดังรองอธิการบดี (พระราชวิริยาภรณ์ )มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา รูปปัจจุบัน ได้เขียนไว้ในหนังสือในหัวข้อว่า “มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา กับรองอธิการบดี ” ว่า
“...วัดศรีโคมคำ มีสถานที่เหมาะสมมากติดกว๊านพะเยา ทิวทัศน์สวยงามมาก มีบริเวณที่ดีกว้างขวาง ประการสำคัญที่สุดคือมีหลวงปู่ใหญ่พระอุบาลีคุณูปมาจารย์เป็นเจ้าอาวาสอยู่เพราะหลวงปู่ชอบการศึกษาและสนับสนุนมาตลอดไม่ว่าการศึกษาทางโลก หรือทางธรรม
....เราทั้งสอง (พระราชวิริยาภรณ์และร้อยโท ดร.ปรีชา หอมประภัทร) จึงได้เข้าไปหาหลวงพ่อใหญ่เล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านทราบ หลวงพ่อให้ความคิดว่าการเปิดวิทยาลัยสงฆ์พะเยาเป็นเรื่องใหญ่จะมีใครช่วย? จนกระทั่งได้นัดประชุมคณะสงฆ์จังหวัดพะเยาขึ้นมีเจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ เลขานุการเจ้าคณะอำเภอทั้งหมด ที่ประชุมสรุปแล้วเห็นด้วยทุกรูปว่าควรเปิดวิทยาลัยสงฆ์ขึ้น เราก็ขอใช้อาคารเรียนปริยัติธรรมของวัด หลวงปู่ใหญ่อนุญาตให้ใช้อาคารเรียนได้ พวกเราไม่ต้องลงทุนสร้างอาคารชั่วคราว แล้วทุกท่านสาธุการ ดีใจกันมาก แล้วตั้งคณะกรรมการดำเนินการในเรื่องนี้โดยด่วน.....”[11]
เราจะเห็นว่า พระเดชพระคุณหลวงปู่ใหญ่ ท่านมีวิสัยทัศน์ ที่มองเห็นภาพในอนาคตว่าพะเยาจะเป็นเมืองแห่งการศึกษาที่มีศักยภาพสูงและที่สำคัญหลวงปู่ท่านต้องการที่จะเห็นความเจริญก้าวหน้า ทางวิชาการ และการศึกษาของสงฆ์ท้องถิ่นที่ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนไปศึกษาต่อ ณ เมืองใหญ่ ๆ เช่น เชียงใหม่ กรุงเทพฯ เป็นต้น อันสร้างความลำบากทั้งการเดินทางและที่อยู่อาศัย ดังที่ท่านได้แสดงทัศนะไว้อย่างน่าฟังว่า
“.....เมื่อการศึกษาเจริญขึ้น มีการเปิดเรียนระดับอุดมศึกษา คือ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๔ จนถึงปัจจุบัน พระนิสิตจบไปหลายรุ่น การเปิดมหาวิทยาลัยในพะเยานั้น ความจริงการศึกษาระดับนี้ต้องไปวิ่งเต้นติดต่อผู้หลักผู้ใหญ่ แต่ที่พะเยาได้มาโดยไม่ต้องวิ่งเต้น สาเหตุที่ได้มาอาศัยบุญบารมีเจ้าคุณสุธรรมมุนี (พระราชวิริยาภรณ์) เจ้าอาวาสวัดสูง ไปเรียนอินเดียแล้วกลับมาได้ไปสอนที่ มจร.วิทยาเขตเชียงใหม่ วัดสวนดอก แล้วไปคุยกัน เรื่องการขยายการศึกษาเมื่อเป็นดังนั้นจึงปรึกษาหารือกัน เราเองเป็นรองเจ้าคณะภาค ๖ ก็ไม่กล้าที่จะรับภาระในเบื้องต้น จะต้องปรึกษาคณะสงฆ์ก่อน.....”[12]
ในจุดนี้ เท่าที่ผู้เขียนทราบ พะเยามีความพยายามเปิดเป็นวิทยาลัยสงฆ์ก่อนปี พ.ศ.๒๕๓๔ ด้วยซ้ำไป แต่เนื่องจากท่านเป็นคนเกรงใจคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระมหาโพธิวงศาจารย์ สหายร่วมรุ่นของท่านที่ได้บอกไว้ว่าพะเยา ยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดมหาวิทยาลัยสงฆ์ เนื่องจากวิทยาเขตแพร่ซึ่งมีที่ตั้งห่างจากไปไม่เกิน ๑๒๐ กิโลเมตร
แต่บุคลากรในยุคนั้นได้ทำงานใต้ดิน มีอยู่ ๒ แนวทางคือพระราชวิริยสุนทร (ธงชัย) อดีตเจ้าคณะจังหวัดพะเยา เจ้าอาวาสวัดราชคฤห์ ได้ลงนามขอแต่งตั้งวิทยาเขตพะเยาเสนอต่อคณะสงฆ์ อีกแนวทางหนึ่งพระราชวิริยาภรณ์ (ศรีมูล มูลสิริ) คณะบดีคณพุทธศาสตร์ (สมัยนั้น) พระสุนทรกิตติคุณ และร้อยโท ดร.ปรีชา หอมประภัทร ได้เข้าไปประสานงาน ติดตามและชี้แจง ประกอบกับทางกรมการศาสนาได้เสนอของบประมาณขอจัดตั้งวิทยาเขตให้กับมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และพะเยาพร้อมกว่าที่อื่น ๆ โดยอธิการบดี (พระราชรันตโมลี) สมัยนั้น ประกาศท่ามกลางงานทำบุญวิทยาเขตสุรินทร์ว่า ตอนนี้เราได้วิทยาเขตอันดับที่ ๙ แล้ว คือวิทยาเขตพะเยา ซึ่งเป็นที่มาของคำว่าบุญล่นทับจนถึงทุกวันนี้
ความสำเร็จ ในด้านการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ได้ทำนั้นท่านได้ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเป็นขั้นเป็นตอนและที่สำคัญที่สุดท่านได้ให้ความเคารพต่อคณะสงฆ์เป็นหลักการและถือมติของคณะสงฆ์เป็นใหญ่ต่อการทำงานในแต่ละครั้ง ไม่ได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ในการบีบบังคับ ข่มเหงพระผู้น้อย แต่เป็นการทำงานที่ใช้พระคุณหรือความเมตตาในการบริหารจัดการ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้พระเดชพระคุณหลวงปู่เป็นที่ยอมรับ เคารพยิ่งในหมู่สงฆ์ มิเฉพาะแต่คณะสงฆ์จังหวัดพะเยาเท่านั้น แต่หมายถึงคณะสงฆ์ทั้งภาค ๖ และสงฆ์หนเหนือด้วย
[1] ในขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระครูพินิตธรรมประภาส เจ้าคณะอำเภอพะเยา จังหวัดเชียงราย
[2] ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระสุธรรมมุนี. หลวงพ่อเมืองพะเยา. (พะเยา : มปท), หน้า ๒๔.
[3] เรื่องเดียวกัน หน้า ๒๔.
[4] เรื่องเดียวกัน หน้า ๒๔.
[5] อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดพะเยา
[6] เรื่องเดียวกัน หน้า ๒๔.
[7] พระครูปริยัติกิตติคุณ.ที่ระลึกงานทำบุญอายุ ๘๕ ปี พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมวิมลโมลี, หน้า ๔๑-๔๗.
[8] ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระโศภณธรรมมุนี
[9] เรื่องเดียวกัน
[10] เรื่องเดียวกัน
[11] ที่ระลึกพิธีเปิดป้าย “อาคารธรรมวิมลโมลี” มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา, ๒๕๔๒ หน้า ๔๓.
[12] มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา. ในหลวงพ่อจะเล่าให้ฟัง : หลวงพ่อเมืองพะเยา. ๒๕๕๔, หน้า ๗๖-๗๘.
ไม่มีความเห็น