ลำดับแห่งราชวงศ์ภูกามยาว ที่สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ลวจังคราช ซึ่งข้อมูลจากที่ต่าง ๆ มีความสับสนปนเปกันอยู่อย่างมาก ในยุคนั้นพะเยาเป็นเมืองที่ขยายตัวมาจากอาณาจักรโยนก แต่หากนับกษัตริย์ผู้ครองพะเยาพระองค์แรกในยุคนั้นและคติฝ่ายพะเยาจะถือเอา ขุนศรีจอมธรรมเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ จำนวนทั้งสิ้น ๑๔ รัชกาล ก็หมดยุครัฐพะเยา โดยมีลำดับพระราชวงศ์ภูกามยาว
กฏหมายกับการปกครอง
การปกครองอาณาจักรในยุคนั้น กษัตริย์พะเยาได้ใช้หลักกฏหมายในการปกครอง มิได้ใช้พระราชอำนาจอย่างการผูกขาด แต่ใช้หลักการนิติรัฐ ดังต่อไปนี้
๓.๑.การใช้ผญา หรือ ขะปื๋อเมือง หรือปริศนาธรรมในการปกครองบ้านเมือง
ลักษณะการบริหารบ้านเมืองในยุคนี้ แม้ขุนงำเมืองจะไม่มีเอกสารหลักฐานใด ๆ มารองรับที่บ่งชี้ว่ามีการใช้กฎหมาย เช่นมังรายศาสตร์ และปริศนาธรรมพญามังราย หรือขนบธรรมเนียมใดๆ อย่างในยุคของขุนมังราย ก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าประการที่หนึ่งกษัตริย์ทั้ง ๒ พระองค์ที่ทรงอยู่ร่วมยุคสมัยเดียวกัน, เป็นพระญาติที่ใกล้ชิดกันเรียกได้ว่ามีปู่พระองค์เดียวกัน และที่สำคัญมีการติดต่อกันเสมอ ๆ นี้จะไม่ใช้ระบบกฎหมายและปริศนาธรรม เหมือนกันเลยกระนั้นหรือ ?
ประการที่สอง พระนามว่า งำเมือง นอกจากจะมีความหมายถึง สภาพแวดล้อมทางภูมิอากาศที่บอกว่าเสด็จไปไหนฝนก็ไม่พร่ำ แดดก็ไม่แผดเผา คือบดบังก้อนเมฆ เป็นต้นนอกจากนั้นแล้วยังบ่งบอกถึงคุณธรรมจริธรรมที่สามารถเป็นที่พึ่งพิง หรือครอบงำปกป้องของคนในรัฐนั้น ๆ ได้
ประการที่สาม ปริศนาธรรมนั้นเป็นการบ่มเพาะและถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษเดียวกันกับขุนมังราย ต่อมาในยุคขุนมังรายจึงได้รับมาแล้วปรับปรุงปริศนาธรรมดังกล่าว ขึ้นอีก
ประการที่สี่ ที่ตัดทิ้งไม่ได้เลยก็คือการถ่ายทอดต่อ ๆ กันมาเมื่อคนรุ่นหลังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เริ่มต้นในการถ่ายทอดและมีหลักฐานเป็นการบันทึกจากประวัติขุนมังรายจึงได้ใช้ชื่อว่าปริศนาธรรมพญามังราย ซึ่งขุนงำเมืองก็ต้องได้รับอิทธิพลในจุดนี้ด้วย
ประการที่ห้า ตำนานระบุว่าพระมหาราชครู ตำแหน่งสังฆราชหัวเมืองได้ใช้เป็นเทศนาถวายแก่กษัตริย์เมืองของตน ๆ ในหลายยุคหลายสมัย ดังจะยกข้อความขยาย ต่อไปนี้ [1]
๑) เป็นพญาใหญ่ หื้อไขว่ไม้สานก๋วย(เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ต้องรู้จักนำไม้มาสานตระกร้า) มีความหมายว่า การเป็นผู้นำบริหารปกครองประเทศชาติจะต้องมีวิสัยทัศน์ คือสายตาที่กว้างไกล มีความรู้รอบ และมีคนต่างพระเนตรพระกรรณมาก ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันเหตุการณ์
๒) หื้อมีบวย ๘ ลูก (ให้มีกระบวย ๘ ใบ) มีความหมายว่า การเป็นผู้นำบริหารปกครองประเทศต้องส่งเสริมทางด้านเศรษฐกิจ ให้มีพ่อค้าคหบดีมาก ซึ่งจะสามารถเก็บภาษีเข้าท้องพระคลังมาก
๓) ปลูกส้มฝาดขมหวาน (ปลูกส้มให้มีหลากหลายรสชาติ) มีความหมายว่า การเป็นผู้นำบริหารปกครองประเทศต้องสนับสนุนเลี้ยงดูผู้ชำนาญการในอาชีพต่าง ๆ โดยเฉพาะแม่ทัพนายกองต่าง ๆ
๔) หาญหนีหย้านอยู่ มีความหมายว่า การเป็นผู้นำบริหารปกครองประเทศต้องมีการผูกมิตรไมตรีกับเพื่อนบ้านเมื่อเกิดศึกสงครามขึ้นมาสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้
๕) หย่ามุคำจ๋า (อย่าได้พูดจาโกหกหลอกลวง) มีความหมายว่า การเป็นผู้นำบริหารปกครองประเทศจะต้องมีวาจาสัจย์ไม่กลับกลอก พูดคำไหนเป็นคำนั้น
๖) หื้อเลี้ยงกาสามหมู่ มีความหมายว่า การเป็นผู้นำบริหารปกครองประเทศจะต้องมีการประเมินผลที่เกิดขึ้นจากอดีต สรุปจากปัจจุบัน และสามารถทำนายอนาคตได้
๗) หื้อเลี้ยงปู่สามคน มีความหมายว่า การเป็นผู้นำบริหารปกครองประเทศจะต้องพิจารณาเหตุผลที่บุรพกษัตริย์ขึ้นไปอย่างน้อย ๓ รุ่นเพื่อให้ศึกษาถึงความผิดพลาด-ความสำเร็จ และกิจที่บุรพกษัตริย์ยังไม่ได้กระทำ อีกประการหนึ่งให้มีความกตัญญูกตเวทิตาต่อท่านที่ได้สร้างรูปแบบเอาไว้
๘) หื้อแต่งก๋น (กลอุบาย) สามด้าน มีความหมายว่า การเป็นผู้นำบริหารปกครองประเทศจะต้องวางแผนและกำกับนโยบายในด้านต่าง ๆ ๓ ด้านดังนี้
ก.ระวังไม่ให้บ้านเมืองมีโจรผู้ร้าย และให้มีความสงบสุขร่มเย็น
ข.ส่งเสริมพระศาสนาให้เจริญก้าวหน้าทางด้านศาสนธรรมคำสอน ศาสนวัตถุ และส่งเสริมประชาชนให้ทำบุญเข้าวัดศึกษาพระธรรม มีการส่งลูกหลานเข้าบวชเรียน
ง.มุ่งพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจให้มีความเจริญก้าวหน้า เช่น มีการให้ทุน การสร้างอาชีพ ระบบสุขอนามัย สร้างถนนหนทางให้ดี ระบบชลประทาน มีระบบกฎหมายที่ดี
๙) หื้อได้เลี้ยงล้านสามหัว มีความหมายว่า การเป็นผู้นำบริหารปกครองประเทศจะต้องส่งเสริมให้เศรษฐีแห่งแคว้นมีความรับผิดชอบต่อสังคมโดยร่วมกันพัฒนาสังคมชุมชนและส่งเคราะห์ประชาชนในคราวเกิดวิกฤติในบ้านเมือง
๑๐) หื้อมีตัวในท้อง มีความหมายว่า การเป็นผู้นำบริหารปกครองประเทศจะต้องมีสติปัญญามีการคิดพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าเสมอ ไม่ควรหยุดนิ่ง คิดหางานให้ประชาชนทำ คิดค้นหาวิธีการต่าง ๆ ในการตอบสนองคนในประเทศ
๑๑) หื้อทำตั๋วเหมือนจ้องเมื่อหุบ-กาง มีความหมายว่า การเป็นผู้นำบริหารปกครองประเทศต้องมีความยืดหยุ่นสูง ให้ใช้หลักรัฐศาสตร์นำนิติศาสตร์ผ่อนคลาย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมีการอ่อนน้อมถ่อมตนได้ในบางโอกาสและสถานที่
๑๒) หื้อเลี้ยงนางสามปาก มีความหมายว่า การเป็นผู้นำบริหารปกครองประเทศต้องมีการตกลงกับภรรยาคู่ชีวิต หรือสอนให้มีการใช้ปิยวาจา อันประกอบไปด้วย
ก.เข้าใจสอนงานหรือแนะนำข้าราชบริพาร เสนาอำมาตย์
ข.พูดจาให้เกิดประโยชน์ทั้งตนและท่าน
ค.สามารถแนะนำผู้อื่นบำเพ็ญประโยชน์ได้
๑๓) หื้อเลี้ยงนาคสามตัว มีความหมายว่า การเป็นผู้นำบริหารปกครองประเทศต้องรู้จักทำนุบำรุงบุคคลสามประเภทคือ พระภิกษุสงฆ์องค์เจ้า, บิดามารดา และสมณชีพราหมณ์หรือนักบวชอื่น ๆ ในแว่นแคว้น
๑๔) มีงัวแสนแอก มีความหมายว่า การเป็นผู้นำบริหารปกครองประเทศจะต้องต้อนรับประชาชนที่เข้ามาพึ่งพระราชโพธิสมภาร และออกพบปะประชาชนในประเทศ
๑๕) หื้อมีแขกหลายตาง มีความหมายว่า การเป็นผู้นำบริหารปกครองประเทศต้องมีการผูกสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ
๑๖) เมืองจากเอาเกลือทอด มีความหมายว่า การเป็นผู้นำบริหารปกครองประเทศจะต้องเข้าไปยื่นมือช่วยเหลือประชาชนในคราวเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ให้ทันท่วงที อย่าทำเป็นนิ่งเฉยแบบทองไม่รู้ร้อนไม่ได้
๑๗) อย่าเลี้ยงมอดกับเมือง มีความหมายว่า การเป็นผู้นำบริหารปกครองประเทศจะต้องไม่เลี้ยงหรือให้ที่หลบภัยแก่คนที่เป็นภัยต่อสังคม เพราะจะย้อนมาทำลายบ้านเมืองของตัวเองได้ เพราะพวกผู้ก่อการร้ายเปรียบเหมือนมอดที่กัดกินไม้คือประเทศชาติ
นั้นก็แสดงว่า กษัตริย์พะเยา ได้ปกครองรัฐ หากเทียบรัฐในปัจจุบันก็เป็นนิติรัฐ ถือได้ว่าเป็นการบริหารจัดการที่ทันยุคทันสมัย มิได้ใช้พระราชอำนาจตามพระราชหฤทัย แต่เป็นไปตามกรอบแห่งธรรม ดังที่กล่าวมาแล้ว
๓. ลำดับพระราชวงศ์แห่งรัฐพะเยา
ลำดับแห่งราชวงศ์ภูกามยาว ที่สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ลวจังคราช ซึ่งข้อมูลจากที่ต่าง ๆ มีความสับสนปนเปกันอยู่อย่างมาก ในยุคนั้นพะเยาเป็นเมืองที่ขยายตัวมาจากอาณาจักรโยนก แต่หากนับกษัตริย์ผู้ครองพะเยาพระองค์แรกในยุคนั้นและคติฝ่ายพะเยาจะถือเอา ขุนศรีจอมธรรมเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ จำนวนทั้งสิ้น ๑๔ รัชกาล ก็หมดยุครัฐพะเยา โดยมีลำดับพระราชวงศ์ภูกามยาว ดังนี้ [2]
ที่
|
พระนาม
|
หมายเหตุ
|
๑
|
ขุนศรีจอมธรรม
|
ปฐมกษัตริย์แห่งวงศ์ภูกามยาว
|
๒
|
ขุนเจื๋อง
|
เป็นพระราชโอรสของขุนจอมธรรม
|
๓
|
ขุนจอมผาเรือง
|
เป็นพระราชโอรสของขุนเจื๋อง-ไทยโบราณได้รับคติมาจากอินเดียที่นำชื่อปู่มาตั้งเป็นชื่อหลาน ในที่นี้ขุนจอมผาเรืองเป็นพระนามเดิมของขุนศรีจอมธรรม
|
๔
|
ขุนจอมแพง
|
เป็นพระอนุชาของขุนจอมผาเรือง
|
๕
|
ขุนชอง
|
เป็นพระอนุชาของขุนเจื๋อง เข้าแย่งชิงราชสมบัติจากขุนจอมแพงผู้เป็นหลาน
|
๖
|
ขุนแก้วแว่นเมือง
|
เป็นพระราชโอรสของขุนชอง
|
๗
|
ขุนจอมปราสาท
|
เป็นพระราชโอรสของขุนแก้วแว่นเมือง
|
๘
|
ขุนเล่า
|
|
๙
|
ขุนพัน
|
|
๑๐
|
ขุนส้า
|
|
๑๑
|
ขุนมิ่งเมือง
|
|
๑๒
|
ขุนงำเมือง
|
เป็นพระราชโอรสของขุนมิ่งเมือง
|
๑๓
|
ขุนคำแดง
|
เป็นพระราชโอรสของขุนงำเมือง
|
๑๔
|
ขุนคำลือ (คำฤา)
|
เป็นพระราชโอรสของขุนคำแดง
|
[1] อินทร์ สุใจ และคณะ. ประวัติศาสตร์ “ ไทยใต้โขง ”. (เชียงราย : ส.การพิมพ์, ๒๕๓๑). หน้า๓๑-๓๔.
[2] ในเรื่องลำดับวงศ์ภูกามยาวนี้ มีการถกเถียงกันมิใช่น้อย ในที่นี้ได้ประยุกต์มาจากหนังสือวัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์ และภูมิปัญญาจังหวัดพะเยา ของคณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ หน้า ๓๑.