สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าเป็น ฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี และบูชาดี อย่าเชื่อหมอดูดวงเลย
๘/๐๖/๒๕๕๔
**********
วันนี้ช่วงเช้ามีโอกาสได้ดู รายการ “เช้านี้ ที่หมอชิต” ช่อง ๗ รายงานข่าวหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับ “จันทรุปราคา” ที่ว่าจะเกิดขึ้นในคืนวันที่ 15 ถึงเช้ามืดของวันที่ 16 มิถุนายน 2554 นี้ พร้อมกับรายงานว่า “โหร” (กระแสดัง) ได้ทำนายว่าบ้านเมืองจะเกิดความวุ่นวายขัดแย้ง สิ่งไม่ดีต่าง ๆ เพราะปรากฏการณ์ดังกล่าว
ความรู้สึกของผมทุกวันนี้เกี่ยวกับ “หมอดู” (พวกโหนขื่อโหนคาในความเข้าใจของผม) ที่ทำนายสถานการณ์บ้านเมือง ไม่ค่อยจะเห็นด้วยสักเท่าไหร่ สาเหตุเพราะหมอดูหลายท่านทำให้ชาวบ้าน ประชาชน หรือสังคม เกิดความวิตกกังวล หวาดหวั่น หวาดกลัวต่อปรากฏการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น สาเหตุเพราะ
๑. ชาวบ้านทั่วไปเชื่อเรื่องโชคลางแบบโบราณที่เล่าขานกันมาอยู่แล้ว เลยกลัวกันไปใหญ่
๒. ขาดผู้ชี้แนะให้ความรู้ ความฉลาดที่ถูกต้องเหมาะสมแก่สังคม เช่น พระสงฆ์ ครูอาจารย์ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง สื่อสารมวลชน เป็นต้น
๓. เราไม่มีความเชื่อมั่นต่อพระพุทธเจ้าหรือพระรัตนตรัยอย่างจริงจัง นับถือพุทธแต่ในสำมะโนครัวหรือบัตรประชาชนเท่านั้น (ปัจจุบันรัฐไม่ได้ให้ความสำคัญกับศาสนาแล้วบัตรประชาชนรุ่นใหม่สมาร์ทการ์ดไม่ได้กำหนดการนับถือศาสนาและกรุ๊ปโลหิตของบุคคลเอาไว้บนบัตรเหมือนรุ่นก่อน)
การปฏิบัติตามคำสอนในนามของศาสนิกนั้น หละหลวมและขาดการเอาใจใส่ต่อการศึกษาเรียนรู้พุทธศาสนาอย่างถูกต้อง “บุญ” ของชาวพุทธปัจจุบัน คือ “ทาน” เท่านั้น มองข้าม “ศีล” “ภาวนา” กันไปหมด ทั้งที่ความจริง “ศีล” กับ “ภาวนา” คือ “บุญที่ไม่ต้องเสียสตางค์ซื้อหา” และ “ ได้อานิสงส์มากกว่า” ด้วย
ความจริงเรื่อง “ฤกษ์” “ดวงดาว” นี้ ในพระไตรปิฎก อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต เล่มที่ ๒๐ ข้อที่ ๕๙๕ หน้า ๒๕๐ พระพุทธองค์แสดงไว้ว่า
“...สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ประพฤติสุจริตด้วยวาจา ประพฤติสุจริตด้วยใจ ในเวลาเช้า เวลาเช้าก็เป็นเวลาเช้าที่ดีของสัตว์เหล่านั้น...ในเวลาเที่ยง เวลาเที่ยงก็เป็นเวลาเที่ยงที่ดีของสัตว์เหล่านั้น...ในเวลาเย็น เวลาเย็นก็เป็นเวลาเย็นที่ดีของสัตว์เหล่านั้น
สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าเป็น ฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี และบูชาดี..”
นอกจากนี้ในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ เล่มที่ ๒๗ ข้อที่ ๔๙ หน้าที่ ๑๐ แสดงไว้ว่า
“ประโยชน์ได้ล่วงเลยคนโง่เขลา ผู้มัวคอยฤกษ์อยู่ ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์ ดวงดาวจักทำอะไรได้..”
ผมไม่รู้ว่าใครเข้าใจคำสอนเบื้องต้นว่าอย่างไร แต่ผมเข้าใจว่า “ฤกษ์” คือ “ประโยชน์” ที่เราจะพึงมีพึงได้ในขณะนั้น ๆ สมมุติว่า ถ้าเราเป็นนักธุรกิจมีนัดสำคัญกับคู่ค้าที่เดินทางมาจากต่างประเทศ มาถึงเมืองไทยเวลาประมาณตีหนึ่งครึ่งของคืนที่มีจันทรุปราคา แต่เรากลับเห็นว่าเวลานั้นเป็นฤกษ์ไม่ดี ไม่ยอมไปตามนัด ไปต้อนรับเขามาเพื่อพักผ่อนและหรือเจรจาการค้าขายกัน เราจะเสียประโยชน์ขนาดไหน หากเชื่อ “ดวงจันทร์” ในครั้งนี้ ดวงจันทร์จักช่วยอะไรเราได้
นอกจากนี้ชาวพุทธยังเชื่อ “สัตว์” “พืช” “ต้นไม้” แปลก ๆ ประหลาด ๆ กันอีกมาก ที่เชื่อแล้วก็พากันจุดธูป ๓ ดอก(ที่ใช้ไหว้พระรัตนตรัยเท่านั้น) ไหว้ของแปลกเหล่านั้น พร้อมกับบนบาน ลูบ ขูด ขัด หาเลขกัน แล้วก็พากันไปซื้อหวยและก็ “เจ๊ง” “จน” ไปตามๆ กัน
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เชื่อ “ดวงดาว” (ดูดาวแล้วทำนายด้วย) แต่สอนว่า ถ้าเราทำดีด้วยกาย วาจา ใจ ในเวลาเช้า เวลาเที่ยง เวลาเย็น เวลานั้นชื่อว่า เป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี และบูชาดี
ผมเห็นว่าฤกษ์ดี คือ “ฤกษ์สะดวก” เป็นฤกษ์ดีที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเราได้มาก เช่น เป็นข้าราชการ จะจัดงานแต่งงาน บวชพระ ขึ้นบ้านใหม่ ถวายสังฆทาน ฤกษ์สะดวก ก็ต้องวันเสาร์ วันอาทิตย์นั่นแหละ “ฤกษ์ดีที่สุด” แล้วครับ